วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ธรรมชาติของ Waterhouse


ขณะก้าวเข้าไปในห้องแสดงภาพเขียนของศิลปินใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่างเจ ดับเบิลยู วอเทอร์เฮาส์ (J.W. Waterhouse) ความเย็นยะเยือกก็เข้ามาเยือน ภาพเขียนเกือบร้อยภาพแขวนเรียงอยู่ในห้องห้าห้อง รู้สึกเหมือนค่อยๆก้าวลงคลองกลางป่าใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วง สีเขียวปนน้ำตาลแทรกซึมในอากาศ ฉันเริ่มสงสัยว่าเหล่านี้เป็นเพียงภาพเขียนหรือโลกอีกโลกหนึ่งกัน

เจ ดับเบิลยู วอเทอร์เฮาส์เป็นศิลปินชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1849 - 1917 หรือพ.ศ. 2392 – 2460 เขาเรียนศิลปะจากผู้เป็นบิดา และจบการศึกษาจาก Royal Academy Schools เลื่องชื่อในด้านการวาดภาพวรรณคดีอังกฤษโดยการดึงนางในวรรณคดีมาประกอบกับฉากธรรมชาติ เช่นภาพนางเงือก (Mermaid) ภาพนางพราย (Nymph) รวมถึงภาพ Lady of Shalot

ที่ว่าวอเทอร์เฮาส์เขียวอย่างเป็นธรรมชาตินั้นก็เพราะภาพเกือบทุกภาพของเขาวาดขึ้นในมุมมองจากสายตาของบุคคลที่สาม

แสดงความเป็นธรรมชาติของตัวละครท่ามกลางสภาพแวดล้อมธรรมชาติ

สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอาภรณ์สวยงามของพวกเธอนั้นล้วนแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์
โหยหา โศกซึ้ง ชวนให้รู้สึกเศร้าไปด้วย
น่าจะเป็นความอ่อนแอที่อิสตรีต้องการปกปิด แต่กลับหลบสายตาของจิตรกรไม่พ้น

ความเขียวของวอเทอร์เฮ้าส์คือการวาดภาพแนวธรรมชาติ (Naturalism) ภาพทุกภาพของเขามีน้ำเป็นองค์ประกอบตามชื่อ และแสดงฉากสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก คลอง มหาสมุทร ป่าเขาลำเนาไพร วอเทอร์เฮ้าส์เองก็คงไม่คาดว่าอีกร้อยกว่าปีฉากหลังในภาพวาดจะหาดูได้ยากเต็มที
ปัจจุบันหากจิตรกรอังกฤษเองอยากวาดภาพป่าเขาลำเนาไพรที่สมบูรณ์ขนาดนี้ คงต้องขับรถออกไปไกลมากหรือไม่ก็คงได้แค่เปิดหนังสือดู สุดท้ายหลายรายก็อาจล้มเลิกความพยายาม กลับมาวาดทั้งคน ทั้งตึก ทั้งต้นไม้ และหุ่นยนต์รวมไว้ในภาพเดียว ซึ่งก็สะท้อนภาพของศิลปะยุคโพสท์โมเดิร์นอีกข้อ

ศิลปะของวอเทอร์เฮ้าส์นั้นจัดอยู่ในกลุ่ม Pre-Raphaelite ซึ่งแม้จะโด่งดังเป็นพลุก็ได้รับคำวิจารณ์จากนักวิพากย์ศิลป์หลายคนว่าขาด Self-Involvement หรือการถ่ายทอดตัวตนลงในเนื้องาน ต่างจากศิลปินเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคน นั่นคืออัลเฟรด กิลเบิร์ต (Alfred Gilbert) และ Hamo Thornycroft ซึ่งสร้างประติมากรรมจากความรู้ความคิดของตนโดยตรง

โดยจุดประสงค์ของการสร้างงานแล้ว วอเทอร์เฮ้าส์เองเคยกล่าวว่า เขาเป็นเพียงผู้เล่าเรื่องจากภาพที่เขาเห็นโดยลำพัง ดังนั้นความตั้งใจของเขาจึงเป็นเพียงการวาดเพื่อบรรยาย หาใช่สร้างพื้นที่เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนเข้าไปเกินกว่าเนื้อหาวรรณคดี

หากมองในมุมของชาวตะวันออกแบบดั้งเดิมแล้วไซร้ การขาดๆแหว่งๆของ Self-involvement นั้นเป็นลักษณะที่ดีมากข้อหนึ่ง เพราะศิลปะย่อมยิ่งใหญ่กว่าศิลปิน
ไม่แน่ว่าถ้ายุคนั้นหากวอเทอร์เฮาส์ได้มาแสดงงานในประเทศแถบเอเชีย เขาอาจมีชื่อเสียงกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้!


ที่มา
http://www.royalacademy.org.uk/exhibitions/waterhouse/
J.W. Waterhouse: The Modern Pre-Raphaelite, the royal academy - london

สงครามกลางเมืองกับโลกานุวัตน์

ปัจจุบันประเด็นโลกานุวัตน์หรือ Globalisation แทบจะเป็นเรื่องที่คนไม่พูดถึง
ไม่ใช่เพราะไร้ตัวตนหากแต่เป็นเพราะเราหายใจความเป็นโลกานุวัตน์เข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันจนแยกจากชีวิตประจำวันไม่ออก

โลกค่อยๆแบนลง แม้ใครจะบอกว่าโลกเล็กลงแต่ฉันเห็นว่าโลกกลับใหญ่ขึ้นทุกขณะ เพราะว่ามนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมั่วซั่วและทั่วถึง ทุกมุมโลกทุกชาติ ภาษา ศาสนาและวัฒนธรรม ถูกร้อยเข้าด้วยกันเป็นวงกลมอย่างไม่น่าเชื่อจึงมีโลกใบใหญ่ให้รู้และเรียนมากขึ้น… หมู่บ้านเล็กๆที่สมาชิกชุมชนแต่งงานกันตั้งแต่อายุ 15 มีครอบครัว ขี่จักรยานไปส่งลูกในระยะยี่สิบนาที กลายร่างเป็นสังคมร้านเกมส์และอินเตอร์เน็ต สาวน้อยอายุ 15 และหนุ่มน้อยวัน 18 อีกซีกโลกกำลังคุยกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ … มนุษย์แม้มีร่างกายอยู่กับปัจจุบันแต่ก็อยู่ในพื้นที่อื่นเช่นกัน
(อ้างอิงจากการบรรยายหัวข้อ Spatial Globalisation,2009 โดย Architecture Association คือคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ใช้สอยเดียวอีกต่อไปด้วยระบบการสื่อสาร)

ณ ขณะนี้การโฟนอินนำขบวนผู้ชุมนุมใจกลางเมืองหลวงแห่งอุษาคเนย์อย่างกรุงเทพฯ เป็นเรื่องธรรมดา โทรศัพท์ลับจากฮุนเซ็นถึงทักษิณไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปจึงเกิดพันธมิตรและศัตรูข้ามชาติขึ้นโดยง่าย
เกิดการแทรกแซงของประเทศเพื่อนบ้านที่รอทำลายบ้านเมืองเรา ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลพม่าและรัฐบาลเขมรส่งสายสืบเข้ามากินอยู่ มาทำงานในประเทศไทยเป็นประจำเพื่อรอจังหวะทางการเมือง (ความเชื่อที่ได้ยินมา)
โลกานุวัตน์เป็นเครื่องมือสู่สงครามกลางเมือง เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้จำกัดวงสังคมและพันธกิจเพียงที่ที่ตนอยู่ แต่กลับแสวงหาผู้ร่วมอุดมการณ์ ……แม้ผู้ร่วมอุดมการณ์ล้วนอยู่ต่างพื้นที่ก็ยังสามารถสร้างกลุ่มได้โดยง่ายเกิดเป็นสงครามต่างความเชื่อคล้ายสงครามศาสนาในยุโรปยุคกลาง ผิดแต่สงครามนี้เกิดได้รวดเร็ว แยบยลและซับซ้อนกว่า อยู่ที่ว่าใครมีเงินซื้อเครื่องมือสื่อสารโดยเราไม่อาจทราบเลยว่ามีเสื้อสีอะไรอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงบ้าง และเป็นอัตราส่วนเท่าไร ……

สงครามกลางเมือง ณ ปัจจุบันเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์เพื่อหาฮีโร่และหาแพะโดยดึงคนทั่วโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากสนุกๆนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์เบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าอาวุธ กลุ่มรับจ้างก่อจลาจลและผู้บงการที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่โดยมีกรุงเทพเป็นสนามรบ

สงครามนี้เป็นเพียงวงจรที่มาบรรจบในทุกๆ 40-60ปี เพระมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่าง เป็นสัตว์ที่รักอำนาจและชอบความรุนแรง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนไทยอย่างเดียวหากแต่เป็นความเก็บกดที่ต้องการที่ระบายออกของประเทศอื่นที่รอรับผลประโยชน์ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553

รักในหลวง?


ไม่ทราบว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้ Fwd mail ที่ดิฉันเพิ่งได้รับหรือไม่ Fwd mail ดังกล่าวมีข้อความดังนี้


"ด่วนที่สุด
ดูแล้วขนลุกไปทั้งตัวเลย ...

ที่ได้รับ mail นี้ ช่วยกันส่งต่อให้คนที่รักในหลวงทุกคนได้เห็นโฉมหน้าคนทำ website หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งพี่-น้องเป็นตระกูล อึ๊งภากรณ์ ชื่อ จอห์น กับ ใจ ลูกชาย อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์เสียดายเสียชาติเกิด ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของบุคคลที่สร้างประโยชน์และความดีงามมากมายไว้ให้กับประเทศไทยอย่าง อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์เสียใจแทนนิสิตจุฬา โดยเฉพาะคณะรัฐศาสตร์ที่มี อ.ชั่วๆ ปากว่าตาขยิบ ที่ชื่อ ใจ อึ๊งภากรณ์ รับเงินไอ้เหลี่ยมมาทำ web หมิ่นพระบรมเดชานุภาพใครไม่รู้ว่า web มันเลวแค่ไหนเข้าไปดูเลยที่ web ประชาไทย

ข้อมูลที่ได้ มาจากสันติบาลไม่มีมั่วนิ่ม
รักชาติ รักในหลวง ช่วยกันต่อต้านคนพวกนี้
ปล. มันบอกด้วยว่าตัวมันไม่ใช่คนไทย เป็นลูกครึ่ง จีน-อังกฤษ แล้วมันมีสิทธ์อะไร มาลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูน"


อ่านอีเมลแล้ว และดูภาพทั้งหมดแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนอกจากว่าทำไมคนพิมพ์อีเมลถึงไร้สติปัญญาขนาดนี้

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสถาบันกษัตริย์ เคยผ่านตาคลิปประเภทดังกล่าวมาแล้วหลายครั้งซึ่งนานมากแล้วตั้งแต่ปี 2006 คลิปพวกนี้ถูกลบไปแล้วและทาง YOUTUBE ได้สรุปว่าผู้โพสเป็นเด็กอเมริกันมือบอนกลุ่มหนึ่ง
เด็กกลุ่มนี้เคยออกคลิปที่ถ่ายหน้าตัวเอง พูดเอง มาลงใน YOUTUBE ประเด็นว่าด้วย Freedom of Speech ซึ่งไม่เห็นด้วยว่าสถานที่ใดในโลกจะมีพื้นที่ว่างที่วิจารณ์ไม่ได้

ภายหลังเด็กกลุ่มนี้ออกคลิปขอโทษประชาชนชาวไทยมาเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายคลิปทั้งหมดได้ถูกถอดออกจากเว็บไซต์เพื่อให้เรื่องราวจบๆไปเสีย

เด็กอเมริกันเหล่านั้นควายมากที่ทำเช่นนี้ เพียงเพราะคุณเชื่อในเสรีภาพทางการกระทำและความคิด ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรุกล้ำ หรือลบหลู่คนอื่นได้ นี่เป็นปัญหาหนึ่งของสันดานอเมริกันที่ประชากรโลกทั้งมวลรังเกียจยิ่งนัก

เรื่องเด็กอเมริกันที่ทำคลิปจบไปแล้ว... กลับมาที่ประเด็นอีเมล

ดิฉันไม่เห็นภาพอะไรในเว็บประชาไท แม้จะหาแล้วหาอีกตามที่ FWD email ดังกล่าว ไม่ทราบเช่นกันว่า
ข้อมูลที่อีเมลระบุว่าข้อมูลนำมาจากตำรวจสันติบาลนั้นคือส่วนไหน หากเป็นส่วนที่ อ.ใจ พูดจาบจ้วง หรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์อันเป็นการผิดกฏหมายไทย ดิฉันไม่เถียง ก่อนหน้าที่อ.ใจจะย้ายไปอังกฤษเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มีการเสวนาวิชาการเกิดขึ้นจริง ณ หลายมุมของอังกฤษ ตรงนี้ตำรวจสันติบาลยืนยันได้

แต่เรื่องคลิปเมื่อ 4 ปีก่อนที่ไม่ทราบว่าคนไทยควายๆยกมาเป็นประเด็นดิฉันเห็นว่าคือการสร้างแพะของสังคมซึ่งเป็นผู้ที่สังคมไทยได้ลงโทษไปแล้ว ...นานมากแล้วและไม่ได้มีผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องเป็นราว หนำซ้ำอาจทำให้ท่าทีของผู้บูชาสถาบันกษัตริย์ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยซ้ำ

ประเด็นการด่าในอีเมลก็ปราศจากการยั้งคิดด้วยเหตุผล เช่น

"ปล. มันบอกด้วยว่าตัวมันไม่ใช่คนไทย เป็นลูกครึ่ง จีน-อังกฤษ แล้วมันมีสิทธ์อะไร มาลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูน"

การเป็น หรือ ไม่เป็นคนไทยเพื่อจะวิจารณ์สังคมไทย ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องนำมาเล่น
หากใช้ตรรกศาสตร์ในการคิดตามข้อความด้านบน คุณกำลังหมายถึง

เราต้องเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นเพื่อที่จะมีสิทธิ์ลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูนใช่หรือไม่ อย่างไร?

ผู้เขียนอีเมลประกาศตัวเป็นผู้พิทักษ์ในหลวงและสถาบันกษัตริย์ ประกาศว่าตัวเองรักชาติโดยการประจานผู้ที่ลบหลู่สัญลักษณ์ของชาติ...

ไม่ผิดค่ะ ดิฉันก็เคยด่าเพื่อนอเมริกัน อังกฤษ ควายๆ ที่วิจารณ์สถาบันสูงสุดของชาติ
แต่ถ้าคุณจะทำน่าจะทำให้ฉลาดและมีข้อมูลที่แน่น สร้างสรรค์ ไม่ต้องทำด้วยอารมณ์

คุณบอกว่าคุณรักสถาบันกษัตริย์ คุณถามตัวเองบ้างไหมว่าเพราะอะไร?

เพราะสถาบันกษัตริย์สร้างความเป็นปึกแผ่นให้ชาติ ดังนั้นหมายความว่าคุณรักความสงบมั่นคง
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะจากสื่อแขนงไหน... ทำไมต้องมีคนคอยกวนน้ำให้ขุ่น
ถ้าคุณรักสถาบันกษัตริย์เพราะความมั่นคง คุณต้องเริ่มสร้างความมั่นคงให้สังคมย่อยๆรอบตัวแล้วล่ะ... ไม่ใช่รับสื่อแบบไม่กลั่นกรอง เชื่อตามๆกันไป ด่าตามๆกันไป เกลียดกันเป็นวงกลม

กฤษณมูรติกล่าวว่า ความรักไม่ได้ตรงข้ามกับความเกลียดชัง คุณรักในหลวง หากความรักของคุณบริสุทธิ์พอคุณจะไม่เกลียดคนที่เคยลบหลู่หรือจาบจ้วงพระองค์ท่าน ... และจะกลั่นกรองทุกครั้ง คุณจะมองคุณค่าของคนและสร้างมิตรภาพ คุณจะไม่เล่นพรรคเล่นพวก ใครจะหน้าเหลี่ยม ใครจะเสื้อแดง.. ใครจะเสื้อเหลือง...
คุณจะไม่สนใจ และแน่นอน คุณจะไม่ทำให้ย่านธุรกิจในกรุงเทพ หรือสนามบินต้องปิดตัวลง