วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ปะ - รินยา”

“ สี่สิบ” หนุ่มน้อยผิวกรำแดดวัยประมาณสิบเจ็ดตอบฉันชัดถ้อยชัดคำ ฉันไม่รีรอรีบยกขาขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์สีเขียวสดคันไม่ใหญ่ไม่เล็กของเด็กหนุ่มซึ่งอาจจะถึงเร็วหรือไม่ถึงเลย
เขาติดเครื่องพาฉันลัดเลาะไปตามซอกระหว่างรถใหญ่ที่จอดกันแน่นถนนราชดำเนิน
ในวันที่น่าจะเป็นวันอันน่าชื่นชมยินดีของใครหลายคน
ถนนกว้างทางแคบแสบผิวหน้า ฝุ่นควัน รถรา ในเมืองหลวงนั้นเสียดประสาทให้ขนลุกซู่ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งร่างกายอาจรู้จักปรับตัวเข้าหาคาร์บอนมอนอกไซด์ด้วยการเป็นมะเร็งปอด ตำรวจจราจรโบกไม้โบกมือให้่สัญญาณอยู่ไม่ห่าง ตำรวจอีกสองสามนายยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อรอเขียนใบสั่งธรรมเนียมส่วยให้แมลงเม่าในเครื่องยนต์เหล่านั้น
ทุกคนบนท้องถนนใช้เงินแลกความเร็ว เหมือนกับฉันที่จ่ายเงินค่ามอเตอร์ไซค์
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง .. ซึ่งขณะนี้เป็นวีรบุรุษของฉันแม้คนขับรถอื่นๆจะเห็นตรงข้าม

อันความเดือดร้อนนั้นถ้าเราเพียงมองหรือเป็นคนกระทำเสียเองก็สนุกดี!

ฉันมองนักศึกษากลุ่มหนึ่งในรถเมล์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล คันนี้ถูกสตัฟฟ์ไว้ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วและไม่มีทีท่าว่าอะไรจะกระดิกยกเว้นเท้าของคนในรถและนิ้วมือของคนขับที่ห้อยออกมาเคาะกรองทิพย์ ขี้เถ้าจากปลายบุหรี่ค่อยๆตกลงสู่พื้นถนนพร้อมกับเศษไส้กรองที่เหลือ
หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันบี้ก้นบุหรี่ด้วยล้อเล็กๆแล้วก็ลัดเลาะช่องแคบนรกเพื่อแสวงหาหลืบรู
สู่สถาบันการศึกษามหามงคลที่เชื่อกันว่าใครเข้าไปเรียนได้นั้น “ สุดยอด ” แบบไม่มีข้อกังขา
จะมีได้อย่างไร ก็ใครๆเขาเชื่อแบบนั้นและไอ้คำว่า “ใครๆเขา” ที่แม้จะไม่มีใครรู้มีกำพืดมาจากไหนก็ได้กล่อมเกลาสังคมให้เชื่อแบบนั้น โดยมีหลักฐานยืนยันจากรายนามบุคคลสำคัญในรัฐสภาซึ่งมักจบจากสถาบันนี้ ไม่ก็อีกสถาบันซึ่งเป็นเสมือนคู่รักคู่แค้น บังเอิญฉันมันโง่หรืออย่างไรที่เลือกจะเรียนอะไรก็ได้แต่ไม่เอา ดันริอ่านจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา สาขาอะไรก็ไม่รู้ที่คนแถวบ้านไม่ยักนิยม …..มานั่งนึกๆไปจะคุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิดูคนเขาชูคออวดตรายศตราศักดิ์ปักป้ายปริญญาเดินเยื้องย่างอย่างอวดองค์
นักศึกษาในรถ
เมล์คันเมื่อกี้ก็กำลังเดินทางไปที่เดียวกันเป็นแน่ เพราะถือของฝากสารพันที่สรรหามาเป็นกระบุง
ความดีใจของมนุษย์นั้นหลายๆครั้งก็เข้าใจได้ยาก และฉันเองกว่าจะดีใจอะไรได้จริงๆสักทีก็ต้องหาคนช่วยดีใจ หรือเข็นให้ดีใจนับสิบเพราะใจจ้องจับผิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ร่ำไปตามประสาสิ่งมีชีวิตมากเรื่อง - เอ้อ - เรื่องมาก!

ไอ้หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันมาหยุดลงตรงหน้ามหา’ลัย …
“ พี่ๆ ถึงละ สี่สิบ”
“ เออ กูรู้ ” ฉันตอบในใจเพราะหงุดหงิดจากอุณหภูมิระอุ ลึกๆนึกขอบคุณไอ้น้องที่มาส่งด้วยค่าแรงแสนถูก
(คำนวณจากทักษะซึ่งประกอบด้วย วิสัยทัศน์อันกว้างไกล ความรู้เชิงภูมิศาสตร์ ความกล้าหาญ ความด้าน-หน้า)
นี่ยังไม่รวมค่ารถ ค่าน้ำมันอีก ฉันควักแบงค์ห้าสิบให้หนุ่มน้อยคนนั้น
“ ไม่ต้องทอน” ฉันยิ้มแล้วเดินเข้าประตูมหา’ลัยไป เขาตะโกนขอบคุณไล่หลังเต็มเสียง ฉันอดคิดไม่ได้ว่าไอ้นักศึกษามหา’ลัยสูงส่งเหล่านี้มันจะมีความคิดแบบไอ้น้องมอเตอร์ไซค์ที่เห็นบุญคุณลูกค้าแบบนี้ไหม ลำพังเงินภาษีพ่อแม่ของพวกเอ็งนั้นไม่พอค่าเรียนหรอก
ตอนเรียนอยู่ก็เดินไปเดินมา คนที่เรียนจริงเรียนจัง กิจกรรมเด่น เก่งทุกด้านนั้นก็พบมาก
แต่เวลาเข้าสู่วงเหล้าต้องเผลอพูดจาดูถูกเหน็บแนมสถาบันอื่นทุกคราไป เรื่องดูถูกชาวบ้านละยกให้ เดี๋ยวคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็โง่
คำก็ “ไร้การศึกษา” สองคำก็ “บ้านนอก”
ไร้การศึกษากับบ้านนอกมันไม่ดีตรงไหน และไอ่้เด็กชาวกรุงบ้าฝรั่งทั้งหลายมันประเสริฐกว่าใคร?

ฉันเป็นพวกชอบแสวงหา
แต่ยิ่งหาคนเก่ง ประวัติเยี่ยมที่ไม่นึกดูถูกใครนั้นก็ยิ่งพบว่าน้อยกว่างมเข็มในมหาสมุทร
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ฉันเองก็เป็น เป็นมากเสียด้วย มิฉะนั้นคงไม่แอบหมั่นไส้เพื่อนพ้องของตัวจนเอามาเขียน
งานรับปริญญาก็ไม่ค่อยต่างจากงานที่คนพบปะกันเพื่อที่จะมารินยารินเหล้าฉลองอะไรก็ไม่รู้
ชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล ที่ฉันมาวันนี้ตั้งใจจะมาพบปะเพื่อนฝูงก่อนจะลาไปตลอดกาลสู่โลกที่ตัวเองอยู่
ตั้งใจจะมาปะ มารินยาให้เพื่อจะบอกว่า … “
รินเพื่อลาชีวิตความเป็นเด็กของตัวเองและก้าวสู่การเดินบนลำแข้งให้ได้อย่างเป็นสุขและสวยงามนะเพื่อนๆ”


ประตูหน้ามหา’ลัยฝั่งสนามหลวงนั้นสวยงามจนบอกไม่ถูก สวยและนิ่งจนฉันอยากจะร้องไห้
ความทรงจำเก่าๆที่เคยร่ำเรียน ณ สถาบันแห่งนี้ย้อนกลับเข้ามาให้รำลึก
เป็นความทรงจำยุคตัวหนอนที่ยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ลึกๆก็เชื่อว่าตัวเองเป็นผีเสื้อที่จะโบยบินสู่ฟ้ากว้างอย่างสวยงามตามวิถีที่สร้างเอง
เป็นความฝันแบบเด็กวัยรุ่นที่กรุ่นกลิ่นความสด ความหวังพลังฝัน ซึ่งบัดนี้ได้ก่อตัวเป็นความจริงตามสมควร

ฉันทิ้งหัวใจของตัวเองไว้ที่นี่ … ณ ลานสีเขียวซึ่งเคยมองว่ากว้าง
ณ ตึกกิจกรรมอันเคยมาพำนัก มาหัวเราะ ร้องไห้ และหลากอารมณ์ประสาวัยรุ่น
ฉันพยายามกดเครื่องสี่เหลี่ยมแบนๆหาเพื่อนหลายรอบแต่สัญญาณล่มไม่เป็นท่า มือซนๆจึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพขณะเดินสำรวจพฤติกรรมมนุษย์รอบอาณาบริเวณ
เจอคนรู้่จักก็แวะทักทาย ถ่ายรูป จูบลาหน้าหลังอย่างกับคุ้น มีทั้งคุ้นจริง คุ้นเทียม เกือบคุ้น มีแม้กระทั่งคนที่ถ่ายรูปคู่กันไปหลายรูปแล้วนึกให้ตายก็ไม่ออกว่าเป็นใคร
เพื่อนๆที่คณะเดิมสวมชุดครุยสีดำแถบทองอย่างสง่างาม คำทักทายเป็นมิตรอย่างเคย รอยยิ้มเปื้อนหน้าและความเรียบง่ายแบบเดิมๆนั้นน่าชื่นชมดี เพราะไม่มีใครมีช่างกล้องที่จ้างมาเฉพาะ มีแค่เพื่อน หรือคนรู้จักที่อาสาถ่ายให้ เสื้อผ้า หน้าผมก็แต่งกันเองอย่างมืออาชีพ
ฉันว่าคนเราควรใช้เงินให้สมฐานะ และไม่น่าจะห่วงด้านนอกมากกว่าด้านใน หรือสนใจพิธีการมากกว่ากระบวนการ
แต่พอเล่าเนื้อคิดเหล่านี้ให้ใครฟังเขาก็ลงความเห็นว่าไอ้ฉันมันหัวนอก
คำว่า “ สนใจกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ” นั้นเป็นลักษณะหนึ่งของความคิดแบบ “ โพสต์โมเดิร์น ”
“ใน มากกว่า นอก” นั้นก็พวก “ ซ้ายจัด ” ซึ่งไอ้ทั้งสองประการมันก็มาจากประเทศแถบตะวันตกอยู่ดี และไอ้ฉันเองที่ไปกล่าวหาชาวบ้านว่าเห่อฝรั่งนั้นก็คงพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะสมองของฉันโดนฝรั่งย้อมไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ส่วนไอ้เพื่อนๆที่บ้าเครื่องสำอางค์หรือกระเป๋าต่างชาติตลอดจนสื่อเกาหลีนั้นยังคิดอะไรในระบอบไทยเดิม
มากกว่าฉันซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนไทยแท้ๆอีก … จบบทสนทนาตรงที่ว่าเราแย่งกันว่าใครไทยกว่า

ฉันและเพื่อนอีกสองคนซึ่งล้มเลิกการโทรศัพท์หากันแต่สุดท้ายก็มาพบกันโดยบังเอิญนั้น
เดินกระเตงสังขารกันไปๆมาๆ เบียดคนเรือนหมื่น ต่อคิวซื้อน้ำ กางร่ม ข้ามเสมหะ ข้ามขยะ ถ่ายรูป
ต่อคิวเข้าห้องน้ำเพื่อ “โบ๊ะ” หน้าไม่ให้มันแผล่บ
ไอ้คำว่า “ ในมีดีกว่านอก” นั้นใช้ไม่ได้หรอกสำหรับวันนี้
ลืมบอกท่านผู้อ่านไป ว่านอกจากฉันจะเป็นนักแสวงหาแล้วยังเป็นนักเล่าเรื่องและนักปากว่าตาขยิบตัวยงด้วย!

ของที่ฉันใช้เป็นของนอกทั้งสิ้น มือถือจากฟินแลนด์ เสื้อเมดอินมาเลย์เซีย เครื่องสำอางค์เพิ่งซื้อจากอเมริกา เครื่องประทินผิวส่วนใหญ่เป็นของสวิสเซอร์แลนด์ จะมีของไทยบ้างก็ไม่มาก
ไม่ได้จะอวดร่ำอวดรวยประการใด แค่จะบอกว่า ฉันไม่ได้นิยมไทยอย่างที่ปากพร่ำพูดหรอก…
แต่จะหาข้ออ้างให้ตัวเองสักหน่อยว่าที่ซื้อมาก็เลือกเฉพาะตอนลดราคาหรือฝากเพื่อนซื้อจึงได้ราคาถูกเกินครึ่งถ้าเทียบกับซื้อที่นี่
ฉันมองว่าคนไทยไม่ได้อยากจะนิยมของนอกเพราะอยากนิยม เพียงแต่ไม่มีสินค้าไทยที่ตอบความต้องการของเขาได้มากเท่า

ฉันใช้หลักกาลามสูตรกับทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นมนุษย์ไม่สังคมโลกมาระยะหนึ่ง
คือเลือกเฟ้นแค่บางคน และบางคนที่สุงสิงก็พึ่งพิงเพียงบางระยะ ไม่ได้จะเชื่อสิ่งใดสนิทแน่ทีเดียว
พักหลังคิดได้ว่าเราเริ่มไม่สายกลางสักเท่าไร พระพุทธองค์คงไม่ได้ตั้งใจให้คนเบื่อโลก ไปบวชหรือทดลองทุกสิ่งเองกันหมด ขืนใช้หลักกาลามสูตรลองเครื่องสำอางค์ทุกยี่ห้อคงได้แผลเหวอะหวะ ไม่ก็แพ้สารเคมีบางตัว
อย่างน้อยๆสิ่งที่ได้คือกระเป๋าบางลงทันตาเห็น

ฉันและเพื่อนๆเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังหอประชุมเพื่อรอเพื่อนรักของฉันอีกคนซึ่งอันที่จริงเป็นคนรักเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย
กระทั่งมาเลิกกันตอนจบเทอมหนึ่งปีหนึ่ง ณ รั้วริมสนามหลวงแห่งนี้
เรื่องรักของเด็กๆมันก็ตลกดี สมัยก่อนเราหัวเราะ ร้องไห้ สรวลเสเฮฮากันตั้งมากมาย
เหมือนกับเชื่อจริงๆว่าเราเกิดมาคู่กันและต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงเวลาแยกก็ต้องแยก
เหมือนกรรมการเป่านกหวีดว่าหมดเวลา ต้องไปแล้ว ต่างคนต่างงงทำอะไรไม่ถูก ตีโพยตีพายกันพักใหญ่ เราทั้งคู่จมอยู่ในกระแสฮอร์โมนซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นรัก ถึงเวลาเจอกันวันนี้เขามากับแฟนใหม่ส่วนฉันมากับเพื่อนๆ
เราก็มองหน้ากัน ยิ้มให้กันแบบเพื่อนที่แสนดี ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็แยกทางกันไปตามเรื่องตามราว
แฟนใหม่เขามองหน้าฉันเหมือนรู้ว่านี่ใคร ฉันยิ้มให้เขาก็ยิ้มตอบ ฉันบอกไอ้เพื่อนยากคนนี้ตลอดว่าถ้าเจอความรักดีๆอย่าเผลอทำแบบที่แกทำกับฉันนะโว้ย…
มันก็ตอบแบบกวนตีนหน่อยๆแล้วก้มหน้าหลบสายตาตอบว่า “ เออ กูรู้” หน็อยแน่ไอ้ตัวแสบ!

ฉันแหวกฝูงชนเดินสวนคนโน้นคนนี้
มีเพื่อนชายบางคนที่เคยคบจนสนิทและบัดนี้เมื่อต่างคนต่างสบตากันก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นโดยอัตโนมัติ
สงสัยมนุษย์คงมีสัญญาณดีกว่าเรด้าร์คอยแยกแยะว่าอะไรดี อะไรร้ายอยู่ในซอกความทรงจำ
ไอ้ฉันเองตอนอยู่แถวนี้ก็ประพฤติตัวไม่งามสักเท่าไร แม้ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็แหกกฏคณะทุกอย่าง ข้อที่เขาบังคับใส่กระโปรงยาวกรอมเท้า ข้าพเจ้าก็ใส่สั้นสามนิ้ว ไม่มีโรคจิตมาตามตื๊อก็ให้รู้ไป

เราสามคนเดินไปซื้อข้าวทางประตูหลัง สุดท้ายได้ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมาสองกล่อง แอบไปนั่งกินกันบนตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ในห้องแอร์ที่คนนอกไม่รู้และไม่เข้า เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนชอบเพราะรู้สึกว่ามี “ อภิสิทธิ์ ”
ใครๆก็ชอบมี ….ไม่จริงหรือ?
ไม่มีใครอยากเท่าเทียมกับคนอื่นหรอก แม้จะบอกว่าสงสารคนนั้นคนนี้ อยากช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ลองเป็นอย่างเขา หรือเกิดในสภาพอย่างเขาคงไม่มีใครอยากเป็น ทุกคนอยากร่ำรวย ดีเด่น
ฉันเห็นไฟแห่งความฝันโชติช่วงในดวงตาของเหล่าบัณฑิต พวกเขาอยากดีกว่านี้ มีเงินมีทองใช้ สบายกว่านี้
หลายๆคนอยากมี “ อภิสิทธิ์” …. อย่างน้อยๆก็ในที่ที่ตัวเองอยู่

ก๋วยเตี๋ยวหมดไปสองกล่อง .. คนเริ่มเข้าห้องลับของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราเผลอใช้คำว่า “ ของพวกเรา ” แล้วเดินออกจากห้องทั้งๆที่มันเป็นห้องของมหาวิทยาลัย

ซึ่งได้่เงินมาจากภาษีประชาชนและอุปการะคุณจากบรรดาศิษย์เก่า ฉันขมวดคิ้วแล้วคิดว่าทำไมฉันเห็นแก่ตัวอย่างงี้วะ?
ฉันโยนขยะทิ้งลงถังซึ่งกำลังจะล้ม เคราะห์ดีที่เห็นแม่บ้านเดินผ่านมาเลยทำตนเป็นคนดีไปบอกให้เขารีบเอาถุงมาเปลี่ยน อีเรื่องแค่นี้ทำให้ว่าที่บัณฑิตดีกรีนอกผู้เก่งการงอมืองอตีนรู้สึกเป็นคนดีขึ้นนิดหน่อย
ทั้งๆที่มันไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย…. เอ๊ะอีนี่!

เพื่อนฉันสองคนหยิบธนบัตรออกมาซื้อพัด
ซื้อที่เดียวสามอันเพราะรุ่นน้องคณะเดียวกันกับพวกหล่อนเป็นคนขาย …เปลืองทรัพยากรเปล่าๆ
รายได้จากการซื้อพัดจะนำไปช่วยเด็กยากไร้ที่ไหนก็ไม่รู้ อย่างไรก็ไม่รู้
อีสหายสองตัวก็รัวพัดยิก ฉันเลยหันไปถามอีน้องนางคนขายที่กำลังจะเดินจากว่า
“น้องคะ .. ช่วยเด็กนี่ช่วยยังไงเหรอคะ” ….. อีน้องนางทำหน้าครุ่นคิดแกมพิศวง ตอบเป็นใจความได้่ว่า
เงินที่ได้จะนำไปสมทบทุนสร้างโรงเรียนให้เด็กยากไร้ที่ต่างจังหวัด
ฉันคิดต่อไปอีก ว่าเวลาสร้างแล้วจะมีครูเหรอ แล้วถ้าสร้างเสร็จปล่อยรกร้างไม่มีคนดูแลวันใดวันหนึ่งอาจจะมีฆาตกรติดยาไปซ่อนตัวอยู่แล้วลากเด็กไปฆ่า
ถ้าไอ้กรณีนี้เกิดขึ้น การซื้อพัดสามอันจะเป็นบาปมหันตร์ทางอ้อม
วิธีคิดแบบนี้เอง สหายหลายสัญชาติมันพากันเรียกฉันว่า “ มิสก็ไม่แน่”
ฉันมักจะพูดว่า “ ก็ไม่แน่นะ… สมมติว่า…”
พอพูดจบทุกคนก็เข้ากลุ่มประชุมวิตกจริตหาวิธีนู่นนี่เพื่อวางแผนงานให้รัดกุม เพื่อกระทำการสารพัดอื่นๆต่อไป
“มิสก็ไม่แน่” คนนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเพราะมักคิดสมมติเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียวตลอดเวลาและไม่ทำอะไรจริงจังสักที

กลับมาเข้าเรื่องพัดกันต่อ …
วันรับปะรินยานี่เป็นวันของพัดและญาติๆพัด อันได้แก่ ญาติกิตติมศักดิ์(ช่อดอกไม)้ ญาติฝ่ายแม่(ตุ๊กตา)
ญาติฝ่ายลูกตำรวจ(ป้ายทะเบียนปลอม ประทับตรา จบ 2550 อะไรก็ว่าไปตามปีจบ) ญาติฝ่ายเสบียง (อาหารทั้งหลาย) สรุปว่าเป็นวันที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมากที่สุด นี่ยังไม่รวมรายได้ที่ร้านรูปจะได้รับ รายได้ที่กระจายไปสู่ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่น
ร้านตัดสูท ตัดเสื้อไหมวิไลวรรณพรรณรายประกายเพชรเจ็ดสีอะไรก็ตามแต่

สุดท้ายที่ไม่สามารถละเว้นได้่เลยคือ
ห้่างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งขายอุปกรณ์ทุกชนิด อาทิ โปรแกรมช่วยตัดแต่งตัดต่อภาพถ่าย ซีดีเปล่า อุปกรณ์กล้อง
จนกระทั่งเพลงประกอบซีดีวันรับปะรินยาซึ่งมีคนทำกันจริงๆ
เวลาบ่ายสามกับอากาศร้อนสุดขีดกลางเมืองหลวงบ้าบิ่น
ฉันจับพัดที่เพื่อนสาวซื้อให้มาพัดวีหน้าตัวเองที่กำลังเลอะเหงื่อไคล …
เหงื่อออกจนชาวบ้านสามารถเห็นรอยเสื้อชั้นในฉันได้่จากระยะสามสิบเมตร แม้ความจริงไม่มีใครเห็นเพราะเบียดกันจนตัวติดฉันก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ดี
เมื่อเดือนที่แล้วไปรับปริญญาเพื่อนที่คิงส์คอลเลจไม่เห็นเป็นอย่างนี้ … ไม่มีอะไรขายเลย และรถก็ไม่ติด
ไม่มีประกาศในวิทยุเลยแม้สักคลื่น เข้าหอประชุมแล้วก็เสร็จ ถ่ายรูปรวมแล้วก็จบ หลายมหาวิทยาลัยรับปริญญาบริเวณโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ซึ่งเทียบความสำคัญน่าจะเท่ากับวัดพระแก้วบ้านเรา ก็ไม่เห็นมีการแห่ขบวนเสียใหญ่โตหรือจัดพิธีซ้อมกันหลายรอบ
สรุปง่ายๆว่าคนไทยห่วงภาพพจน์จนเป็นวัฒนธรรม

ตกเย็นคนเริ่มซา เช่นเดียวกับฝน เพื่อนคนหนึ่งลากลับบ้านไป ฉันจึงได้โอกาสเกาะเพื่อนที่เหลืออยู่ไปรินยากับบัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์อีกสองนาย เรานั่งรถออกจากสนามหลวงและช่วยกันคิดว่าจะกินอะไรดี รถยนต์ที่เพื่อนสาวขโมยมาใช้เมื่อไม่มีใครอยู่บ้าน แล่นไปติดไปตามทาง ร้านรวงย่านนั้นก็เต็มหมด เราดิ่งไปสยาม(อีกแล้วหรือ) ประหลาดที่รถไม่กล้าติดอีก
คงเป็นเพราะมันติดตอนบ่ายจนสนองตัณหาเทพเจ้าทางหลวงไปเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งรถผ่านร้านมาก ตัวเลือกก็ยิ่งมาก ยิ่งคนมาก ก็ยิ่งคุยมาก และยิ่งทำให้หิวมาก
สุดท้ายเรานั่งกินสุกี้กันที่ร้านใกล้โรงเรียนเก่าฉัน ร้านนี้สมัยนั้นฉันยังไม่เคยกล้ากินเพราะท่าทางแพง
ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้องเดินทางรอบโลกเพื่อที่จะ “กล้า” กินร้านที่อยากกินมานาน
เราสนทนากันไปเรื่อย .. สี่คนที่พูดภาษาเดียวกันคุยกันได่้ลื่นไหล ชายหนุ่มซึ่งนั่งตรงข้ามสั่งไวน์มาดื่ม
ฉันสั่งค็ิอกเทล เพื่อนสาวของฉันและบัณฑิตใหม่อีกคนสั่งวิสกี้ เมื่อเหล้าหมดแก้วทั้งสี่ เราก็สั่งไวน์แดงมาทั้งขวด

“ เรียนจบแล้วจะทำอะไร ”
ฉันถามชายตรงหน้าแล้วยกแก้วขึ้นชนกับเขา
“ งาน.. ขอเงินซัก สองสามหมื่นต่อเดือนเท่านั้นแหละ ” เขาตอบ อีกสองคนที่เหลือพยักหน้า
“ ..ง่ายจะตายแก เผลอๆได้่มากกว่านั้นอีกนะ เกียรตินิยมหนิ” เพื่อนสาวของฉันกล่าว
“ ตอนนี้เศรษฐกิจฝืดว่ะ ..กูไปขายน้ำมันดีกว่า” ชายอีกคนเสริม พลางทำไม้ทำมือ
“ กูไม่อยากจบเลยมึง.. โหวงสัตว์ๆ” เจ้าของเกียรตินิยมพูดขึ้น
“ กูอยากจบ… สบายตายห่า มึงคิดดู วันๆมึงนั่งเล่นเกม หรือไม่มึงก็ทำเว็บไรก็ได้ ขายของ ของห่วยๆเลยนะเว่้ย
กูเห็นเงินลอยมาเรื่อยๆ” เขายักคิ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ กูว่ากูหางานทำก่อนดีกว่าว่ะ.. แล้วพอรู้แนวค่อยไปต่อ” ชายหนุ่มตัดรำคาญท่าทางมั่นใจของเพื่อน

จนแล้วจนรอดก็ต้องวนมาถึงหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตซึ่งทุกคนต้องทำหน้าเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคราก็มีบางคนแสดงสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด

“ แกจะทำไรวะ ” เพื่อนสาวคนสนิทถามฉัน
“ หา.. เออ มีแต่คนถาม ถามตั้งแต่กูไปแล้ว กูว่ากูคงอยู่แถวนั้นแหละ ถ้ากลับไทยกูแดกแกลบพอดีมึง เพื่อนกูก็ไม่มี เด็กมหาลัยมึงเอางานไปแดกหมด” ฉันตอบแล้วกระดกแก้วไวน์
“ ขี้เกียจหางาน ” ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจอีกระลอกแล้วยกไวน์ขึ้นจิบ
“ ทำไมวะ .. ” เพื่อนชายของเขาถามนิ่งๆ
“ ก็… กูว่ากูชอบเรียน กูหาเรื่องเรียนโทดีกว่า เอาไว้ยืดเวลาเป็นเด็ก มึงว่าดีมั้ย”
เขาพูดพลางพับปกเสื้อเชิ้ตให้เข้าทรง ยกไวน์ขึ้นจิบอีกที

บังเอิญว่าความคิดของฉันต่างจากของเขาโดยสิ้นเชิงฉันจึงไม่กล่าวอะไรอีก
ไวน์เหลืออีกครึ่งขวด ทุกคนลงความเห็นว่าให้ฉันนำกลับบ้านเพราะท่าทางกินไวน์เก่ง …
ไม่หรอก พวกมันที่เหลือแค่ไม่มีปัญญาถือกลับ พวกเราทั้งสี่นั่งรถของยัยเพื่อนสาวชาวกรุงกลับบ้าน เธอปล่อยสองหนุ่มลงที่รถไฟฟ้า
ฉันเห็นเงาประหลาดจากร่างของเขาทั้งคู่ที่พื้น
เมื่อเพื่อนสาวส่งฉันกลับบ้านโดยปลอดภัยแล้ว
ภาพเงาของชายหนุ่มทั้งสองก็ยังตามมาหลอกหลอนหลังจากกลับบ้าน
ฉากที่น่ากลัวนั้นมีชายหนุ่มวัยยี่สิบสองสองคนถือตุ๊กตุ่นตุ๊กตาลงจากรถแล้วโบกแท็กซี่
ที่พื้นปรากฏเงาแปลกๆ …
เป็นภาพชายหนุ่มกับเด็กชาย เปลี่ยนสลับไปมาในเงาเดียว


ปีหน้าใต้รอยเท้าฉันจะมีเงาแบบนี้ไหมนะ?