ความรู้สึกของมนุษย์ล้วนมาจากสังขาร 5 คือประสาทสัมผัส สงสัยว่าหากขาดสิ่งซึ่งเป็นเครื่องสัมผัสไปทั้งสิ้นเราคงหมดความทุกข์ หมดความสุข เจริญกว่าต้องมานั่งหรือนอนลุ้นว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดีกว่าหรือแย่กว่าวันพรุ่งนี้
ชีวิตเป็นเรื่องน่าสงสาร คนเรายากดีมีจนล้วยประกอบไปด้วยทุกข์
คนจนเฝ้าคิดว่าจะอดอยากตาย คนรวยเฝ้าระแวงคนขโมยทรัพย์ เด็กเฝ้าอยากเติบโต ผู้ใหญ่เฝ้าหาทางเป็นใหญ่เพื่ออิสรภาพแบบเด็กๆ ผู้หญิงแสวงหารัก ผู้ชายแสวงหาทางปล่อยรัก

แม้ในพระคัมภีร์ไบเบิลยังจารึกไว้ว่า
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”
ซึ่งระบุความทุกข์ความกังวลไว้ชัดเจนว่าย่อมมีอยู่ในทุกวัน เพียงแต่เราจะประคองจิตอย่างไรให้อยู่กับปัจจุบันได้ เป็นหลักการที่ไม่ต่างจากการกำหนดจิตของทางฝรั่งพุทธ
แล้วการอยู่กับปัจจุบันนั้นต่างกับการอยู่ไปวันๆอย่างไร?
มนุษย์ผู้กรำชีวิตอาจต้องค้นคว้าหาความหมายแทบตลอดชีวิตเพื่อลองผิดลองถูก และศาสนาอาจไม่ได้ให้คำตอบทั้งหมดที่จะปิดบาดแผลหรือดึงเราสู่ความสมดุลนั้นได้ ไม่มีใครทำได้นอกจากตัวเราเอง
ความทุกข์ไม่เคยมาหาเรา..แต่มันอยู่กับเรามาตลอด..
เราอาจจำไม่ได้ว่าเราเคยอึดอัดเพียงใดในท้องแม่ เคยร้องไห้ในโรงเรียนอนุบาล เคยเครียดตอนสอบตก หรือผิดหวังในความรัก…
ความทุกข์ไม่เคยจากไปไหนเพราะเรามีต่อมสร้างทุกข์ติดตัวมาทุกคน
เรื่องบัดซบของชีวิตอยู่ที่ต่อมสร้างทุกข์เป็นต่อมเดียวกับต่อมที่ให้ความสุขและเรานั่นเองที่เสพย์ติดความสุขลมๆแล้ง.. ขณะที่ชาวพุทธทำบุญเผื่ออนาคต ชาวคริสต์และมุสลิมเฝ้าอธิษฐานขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ความสุขมาหา มาอยู่กับเรานานๆ มาเผื่อแผ่ให้คนที่เรารัก
เราเฝ้าเอาอกเอาใจตัวความสุขไม่ให้จากไปไหน แต่ความสุขมันไม่เคยจากเราเช่นกัน มันนอนอยู่นิ่งๆอย่างนั้น ณ ต่อมรับอารมณ์ที่ตั้งอยู่บนฐานความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง
เราทุกข์ เราสุข อยู่ข้างในตลอดเวลาคล้ายธาตุที่หมุนเวียนไปตามตัวกระตุ้น สุดท้ายตัวเราเองเป็นเพียงสารประกอบชีวภาพที่หากตัดสมองแค่บางเซลล์เราอาจไม่เหลือความเป็นตัวเองที่ใครๆจำได้ด้วยซ้ำ…
ไร้ค่าขนาดนี้.. คิดว่ามนุษยชาติควรมีอยู่ไหม?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น