เมื่อดิฉันกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ สิ่งที่คนรู้จักถามมากที่สุดเห็นจะเป็นคำถามที่ว่าเหตุไฉนไม่สนใจทำธุรกิจการศึกษา เช่น ส่งเด็กไปเรียนนอก หรือเปิดติวราคาแพงๆ
เหตุผลข้อเดียวที่ดิฉันต้องตอบตามความจริงที่เห็นคือธุรกิจการศึกษาดูจะเป็นธุรกิจอันโสมม ขายฝันแบบเหมาจ่าย เคยลองถามโรงเรียนเดอะติวเตอร์ว่าจ่ายครูเท่าไร ราคาอยู่ที่สองร้อยห้าสิบบาท มีอัดเทปด้วยและโรงเรียนจะเอาเทปที่เราสอนไปเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ตั้งราคาติวรอบเทปชั่วโมงละเป็นร้อยในห้องที่มีเด็กราวห้าสิบคน เรื่องค่าแรงก็ส่วนหนึ่งแต่เรื่องที่ธุรกิจขายฝันนี้ได้ฝังรากเข้าไปในสมองของเด็กคือ
เมื่อจบคอร์สนี้แล้วจะได้ …… ได้ห่าได้เหวอะไรก็ตามที่เด็กอยากใส่ไปในช่อง
เป็นต้นว่า เมื่อเรียนภาษาอังกฤษกับสถาบันนี้แล้วจะได้เป็นแอร์การบินไทยตามใจฝันโดยหารู้ไม่ว่าการบินไทยต้องมีเส้นใหญ่ระดับควายถึงเข้าได้
ลองมาดูตัวอย่างเส้นทางโสมมที่หากินกับอนาคตของคนกันนะคะ
1. ส่งเด็กไปเรียนนอกแพงๆ
ประสบการณ์ตรงของดิฉันมาจากบริษัทโอเวอร์ซีเอ็ด ซึ่งตอนนั้นได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา โฆษณาชวนเชื่อหลายอย่างโดยเมื่อไปถึงก็ไม่ดูแล บ้าน โรงเรียนเถื่อนขั้นเทพ ยังดีที่ดิฉันได้ทุนเต็ม เสียแค่ค่าเครื่องบิน หลายๆคนที่ไม่มีความสุขก็อดทนไปทั้งปี
กรณีนี้ยังไม่เสื่อมทรามเท่าหลายบริษัทที่ออกตัวว่าเรียนโทอังกฤษปีเดียว ไม่ต้องสอบไอเอล หรือสอบได้แค่ห้ากว่าๆก็ไปได้... เมื่อเด็กเหล่านี้ไปถึง ความสามารถไม่พอ ต้องเรียนไปเรื่อยๆและไม่ผ่าน เคยทราบจากคนรู้จักว่าสุดท้ายใช้เวลาเรียนโทราวสี่ปี เสียเวลาและเงินให้ผู้ประกอบการและโรงเรียนที่ไร้จรรยาบรรณ บางคนใช้เวลาแปดปีก็มี
เรื่องส่งเด็กไปเรียนนอกแพงๆนั้นต้องดูเป็นกรณีไป แต่มหาลัยฝรั่งดีๆส่วนใหญ่มันไม่มีศูนย์ในเมืองไทยหรอกค่ะ ต้องสมัครไปเอง และยากมากที่จะเข้าได้
ศูนย์แนะนำมักพร่ำบอกว่า จบออกมาสามารถทำงานเมืองนอกได้ มีรุ่นพี่ทำงานที่นั่นที่นี่
โดยแท้จริงคนเหล่านั้นได้งานเพราะเหตุผลอื่น เช่น มีแฟนต่างชาติเลยได้พาสปอร์ต หรือ มีนามสกุล
2. รับจ้างเขียนรายงาน
ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักหลายท่าน ซึ่งยินดีโทรศัพท์มาให้ด่า ว่ากำลังหาคนเขียนรายงานหรือทำรายงาน เล่มละประมาณสามหมื่นบาท บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่รับทำ ดิฉันไม่เห็นคุณค่าของความรู้จอมปลอมซึ่งนักเรียนไร้จรรยาบรรณตกลงกับผู้ประกอบอาชีพที่ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ในการกระทำของตนเอง
คนที่รับเขียนรายงานหรือทำรายงานมักอ้างเสมอว่า ถ้าเขาไม่จ้างเรา เขาก็ไปจ้างคนอื่น
ณ จุดนี้ดิฉันจะถามให้ละเอียดว่านักเรียนคนนั้นต้องการอะไร อย่างไร และยินดีสอนเขียนรายงาน สอนทำรายงานให้ในราคาถูกๆเพียงชั่วโมงละสองร้อย ถ้าน้องคนนั้นๆยินดีจ่ายสามหมื่น จะได้ชั่วโมงเรียนร้อยห้าสิบชั่วโมง
บุคคลที่โทรศัพท์มาสามคนถ้วนนั้นหายไปและไม่โทรมาอีกเลยตามความคาดหมายของดิฉัน
คาดว่าคงไปจ้างคนอื่น ถามว่าสังคมเปลี่ยนไปไหมก็ไม่ แต่ดิฉันอยากให้คนที่โทรมาได้ทราบว่าอย่างน้อยๆในโลกที่มีคนยินดีหาเลี้ยงชีพด้วยการลดมาตรฐานการศึกษาไทย ดิฉันคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นด้วยเพราะเด็กคนนั้นจะโง่ตลอดไป เห็นใบปริญญาเป็นมาม่า สี่ปีสุก แดกได้ แต่ไร้สารอาหาร
ก็ได้้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งคนจะเลิกรับจ้างเขียนรายงาน พวกที่อยากจ้างจะได้หัดเขียนเอง และละอายตัวเองอย่างจริงๆจังๆ
3. ขายรายงาน หรือผลงานที่ตัวเองเขียน
ค่ำวันหนึ่งดิฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่า ว่าด้วยเรื่องคนรู้จักของหล่อนต้องการเข้าแฟชั่นที่เซนต์มาร์ตินให้ได้ ..
หล่อนถามว่าดิฉันยินดีให้เพื่อนของหล่อนนำงานดิฉันไปสมัครเรียนหรือไม่
โดยจะให้ค่าตอบแทนหนึ่งแสนหากดิฉันพอใจ
หากไม่พอใจให้โทรไปเจรจากับเพื่อนของหล่อน
..
“ ขอบใจนะแก แต่เรามีจรรยาบรรณพอที่จะไม่หลอกเพื่อนแกว่ะ
เพื่อนแกถ้าเข้าไปได้จะเรียนได้เหรอ อาจจะโดนไล่ออกนะ
วิธีการคิดงานของโรงเรียนเรากับที่อื่นไม่เหมือนกันจริงๆ
ถ้ารีบอยากทำพอร์ต เราสอนได้นะ เราเน้นสอนคนกับรับงานออกแบบแต่ไม่รับทำงานให้จริงๆว่ะ บอกเพื่อนแกแล้วกันว่าโทรมาคุยได้ ปรึกษาได้”
4. สอนหนังสือแบบส่งๆ
ช่วงที่ดิฉันไม่ทำงานประจำ ได้ลองลงประกาศว่ารับสอนศิลปะ โดยเด็กที่โทรเข้ามาถามมักจะทราบว่าดิฉันเคยได้ที่ 1 สายศิลป์ของประเทศเมื่อปี 2547
ประหลาดนักที่เด็กพวกนี้ต้องการใช้เวลาเพียง 1 เดือนในการเตรียมตัววิชาวาดรูปโดยที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน ยกตัวอย่างบทสนทนาทางโทรศัพท์
“ พี่แน้ตใช่ไหมคะ”
“ค่ะ”
“หนูอยากติวเข้าศิลปกรรม ที่ธรรมศาสตร์ค่ะ”
“ ทำไมถึงอยากเข้าละคะ”
“ ก็ ..หนูชอบดูแฟชั่นโชว์ค่ะ”
ในกรณีที่เด็กโทรเข้ามาถาม หรือ ส่งอีเมลเข้ามาถาม ดิฉันจะถามเจาะ ชวนคุยก่อนเลยว่าเพราะอะไรถึงอยากเรียน
ถามไปถามมา เด็กๆพวกนี้แบไต๋ออกมาว่าเพราะคิดว่าง่าย
เด็กคิดว่าการสอบเข้ามหาลัยเป็นมาม่า เดือนเดียว ติวแล้วเสร็จ เข้าได้เลย
เด็กเกินครึ่งถามว่า “ต้องกลับไปวาดเองที่บ้านด้วยเหรอพี่”
ทั้งที่เด็กๆพวกนี้บอกโจทย์ว่ามีเวลาเดือนเดียวโดยไม่มีพื้นฐาน
ในกรณีที่มีพื้นฐานแล้วดิฉันจะให้เด็กสแกนผลงานหรือเอาลงเว็บไซต์มาให้ดูหน่อย
ซึ่งก็หายไปอีกเช่นกัน เพราะบอกว่าขี้เกียจเอาลงเว็บ
“พี่ให้การบ้านเยอะรึเปล่าคะ”
“เยอะค่ะ พี่ต้องให้เยอะ เพราะหนูมีเวลาไม่มาก”
เด็กที่เลือกเรียนศิลปะในประเทศเราหลายคนเลือกเรียนเพราะคิดว่าง่าย เลือกอะไรไม่ได้แล้ว
หรือเลือกส่งๆ สถาบันที่สอนส่วนใหญ่ไม่ถามเด็กเลยว่าเพราะอะไรถึงอยากเรียน มีเวลาแค่ไหน ครูที่มีจรรยาบรรณต้องไม่หลอกเด็ก ไม่เอาลูกกวาดไปล่อว่าจบคอร์สแล้วจะได้นั่นได้นี่
ในโลกแห่งความเป็นจริง เด็กจะได้ความรู้ ได้ปริญญาที่มีคุณภาพก็ต่อเมื่อขยันและมีวินัยเท่านั้น สรุปจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่ได้ปั้นเด็กคนไหนในฐานะนักเรียนเลย
รับสอนภาษาอังกฤษให้แค่ที่เดียวเท่านั้น ยังดีที่เด็กๆหลายคนที่คุยแล้วมีแวว ดูตั้งใจจริงนั้นสอบเข้าได้สมใจเพราะกลับไปฝึกเองที่บ้าน เรียนเอง คิดเอง ไม่ได้ติวที่ไหนเลย
เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ยังส่งอีเมลเข้ามาทักทายเป็นบางครั้ง
นับเป็นเวลาหลายปีที่ดิฉันปฏิเสธเงินง่ายๆรวมแล้วหลายแสนบาทแลกกับจรรยาบรรณที่กินไม่ได้
ถามว่าคุ้มไหม อาจจะมีเพียงดิฉันที่ตอบกับตัวเองว่าคุ้ม
ดิฉันอยากให้การศึกษาไทยดีขึ้น โดยเฉพาะด้านศิลปะที่เด็กๆจะคิดว่าเรียนเพื่อสอบเข้า เพื่อมีอาชีพ
ศิลปะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่คือชีวิตโดยเนื้อของมันเอง เราวาดรูปเพื่อให้กล้ามเนื้อมือดี เราปั้นเพื่อบริหารสมาธิทำให้สมองโล่ง ศิลปะทำให้เด็กๆยิ้มและมีแรงทำสิ่งสร้างสรรค์อื่นๆ
ค่านิยมที่ว่าการศึกษาคือมาม่า น่าจะเปลี่ยนไปได้แล้ว
มารการศึกษา ไม่ใช่กระทรวงศึกษาหรือเด็กลูกคนงานที่โดนแดกดันว่าจน ว่าโง่
คนพวกนี้แหละที่นำเงินเข้าประเทศไทยมากเสียกว่าวิศวกรที่จบแล้วทำงานให้โรงงานต่างชาติทำให้บ้านเราขาดดุล
มารการศึกษาคือผู้หาผลประโยชน์จากธุรกิจขายฝัน
หลอกลวงอนาคตของชาติว่าเราจะดีกว่าคนอื่นเมื่อเราซื้อบริการการศึกษาของเขา เมื่อเราเอาเงินไปซื้อฝัน ซึ่งเป็นฝันของเขาที่จะได้ร่ำรวยสมใจ
ดิฉันอยากให้คนไทยมีความตื่นตัวเรื่องการศึกษาให้มากกว่านี้
เราบ่นเสมอว่าการศึกษาไทยห่วย แต่เรายังมองค่านิยมเรื่องไปเรียนนอกแพงๆในมหาลัยห้องแถวแล้วกลับมาอวดว่าเป็นเรื่องปกติ
เราเห็นการรับจ้างเขียนรายงาน ขายงาน สอนหนังสือแบบส่งๆโดยไม่สนใจที่มาที่ไปของเด็กเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเรารับตรงนี้ได้เราต้องกลับมามองตัวเองแล้วล่ะ ว่ามีคุณภาพแค่ไหน
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น