วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

นโยบายรถคันแรก :บริโภคแบบโลกที่สาม!

เมื่อราวปลายปี 2552 ดิฉันเคยเขียนบทความเกี่ยวกับอิทธิพลทางสังคมที่ Blackberry เข้ามายึดพื้นที่ในสังคมไทย เวลาผ่านมาไม่กี่ปีนักทั้ง iPhone,iPad ก็เข้ามายึดครองพื้นที่ของ Blackberry ไปเสียหมดแล้ว จำนวนคนไทยที่ต้องผ่อนจ่ายสินค้าเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนยังผ่อนตัวเก่าไม่หมดก็เริ่มผ่อนตัวใหม่ หากผ่อนได้แบบสบายๆก็คงไม่น่าจะหนักหนาอะไรแต่ดิฉันมีประเด็นที่น่าสนุกกว่าของเล็กๆแค่หลักหมื่นอย่างโทรศัพท์มือถือนั่นก็คือ “รถ” และไม่ใช่รถที่เสียภาษีสรรพสามิตแบบทั่วๆไปแต่เป็นนโยบายรัฐฯ(สไตล์ประชานิยม)ที่ออกมาเพื่อให้คนไทยได้ใช้รถกันถ้วนหน้า เสมือนหนึ่งว่าเราผลิตรถได้และรถยนต์นั้นจำเป็น อย่าหาว่าดิฉันต่อต้านเพราะจน ไม่มีปัญญาซื้อรถ หรือเพราะรวยจนซื้อเบนซ์เงินสดได้แบบสบายๆเลยไม่อยากให้มีใครมาซื้อรถเบียดดิฉันในถนนเลย ดิฉันเป็นชนชั้นกลางคนหนึ่งอย่างเราๆท่านๆและก็ประสบปัญหาอย่างที่หลายๆท่านเคยพบเกี่ยวกับการเดินทางนั่นคือ “ระบบการคมนาคมของประเทศไทยย่ำแย่ขั้นเทพ” กล่าวกันที่กรุงเทพฯก่อน - รถเมล์ มาไม่ตรงเวลา ขับหวาดเสียว ผิดกฎจราจร ทั้งที่รถเมล์ควรจะเป็นตัวแทนของรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อประชาชน ความสกปรกก็เหลือร้าย ความอันตรายเหลือแสน บางสายมีแทงกันตายในรถ เคยมีกรณีซ่อนระเบิดอีกด้วย แม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็พอให้คนที่ต้องใช้รถเมล์สายนั้นหวาดหวั่นไปสักระยะ - แท็กซี่ โบกแล้วไม่ไป ไล่ลงกลางทาง ด่าทอผู้โดยสาร บางรายถึงขั้นทำร้าย ข่มขืน โกงมิเตอร์ - มอเตอร์ไซค์ ราคาแตกต่างกันแล้วแต่เขตพื้นที่และเวลา แถวสยาม สาธร หมอชิต แพงกว่าที่อื่น เมื่อฝนตกราคาเพิ่มสองเท่า หมวกบางครั้งไม่มีอันตรายมาก บอกลูกค้าว่า “ตำรวจไม่ว่าหรอก คุยให้แล้ว” แบบนี้ล้มฟาดพื้นไปใครจะรับผิดชอบกันละคะ - รถสองแถวในซอย ราคาและเวลาไม่แน่นอน บางครั้งไม่จำกัดจำนวนคนขึ้น เบียดมากอาจโดนลวนลาม ดิฉันไม่ได้จะกล่าวหาว่ารถเมล์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ หรือรถสองแถว แย่ไปเสียหมด ข้อดีก็มีมากหลายและคนขับตลอดจนเพื่อนร่วมทางดีๆก็มีมากมายแต่ด้วยความที่บทความนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ประสบจึงเล็งไปที่ตัวปัญหา จึงต้องขออภัยผู้ที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้ ทีนี้มองออกไปนอกเมืองหลวงกันบ้าง - เครื่องบินในประเทศเทียบกับราคาค่าครองชีพนั้นแสนแพง - รถไฟ ช้ามาก ปัญหาตกรางบ่อยๆ กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ร้อน ฯลฯ - มอเตอร์ไซค์ขับเองตามต่างจังหวัด เวลาเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งจะรุนแรงมากเพราะทางกว้าง ไม่ใช่การเฉี่ยวชนแบบในกรุงเทพฯ อาจเสียชีวิต เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลให้คนไทย “อยากมีรถยนต์ส่วนตัว” ซึ่งเป็นเหตุผลที่น่าจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เหตุผลฟุ้งเฟ้อจำพวก “ อยากเอาไว้อวดสาว” “อยากอวดเพื่อน” “อยากให้คนเห็นว่าประสบความสำเร็จ” ดิฉันมองว่าประเทศไทยทั้งประเทศมีปัญหามากด้านการคมนาคม และปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุตามหลักการของพุทธและวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกัน ทุกข์ – คนไทยเดินทางไม่สะดวก สมุทัย – เพราะอะไร ก็เพราะระบบไม่เอื้อต่อการคมนาคมที่ดี นิโรธ – ประชุมร่วมกันเพื่อหาทางแก้ที่ตัวระบบ 1.ปรับปรุงรถเมล์ เช่น อบรมคนขับ ออกแคมเปญให้คนร่วมใช้รถเมล์ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะ หากพบเห็นการลวนลามแล้วส่งตำรวจมีเงินให้ ฯลฯ (อันนี้คิดเองเล่นๆ) 2.แก้ที่กฎการตั้งอู่แท็กซี่ เช่น ทำไมอู่และแท็กซี่มีเกลื่อนเมืองแต่ไม่ยอมรับผู้โดยสารคนไทย ทำไมรอรับแต่ต่างชาติ ทำไมไม่รับคนขึ้นตอนฝนตก พอชั่วโมงเร่งด่วนไม่ยอมกดมิเตอร์ ฯลฯ ทำไมแท็กซี่ถึงไม่ได้รับการอบรมก่อนมาขับ มีการด่าทอผู้โดยสารเป็นเรื่องปกติ มรรค – เมื่อได้ทางร่วมกันแล้วก็นำงบประมาณมาจัดตั้งหน่วยงาน คล้ายๆ ปปส. “หน่วยงานปรับปรุงระบบคมนาคมแห่งประเทศไทย” อะไรก็ว่าไป นี่คือปัญหาระดับชาติ เรามี ปปส.เรามี สสส. แต่ทำไมเราไม่มีหน่วยงานด้านนี้โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ออกตัวว่าเป็นเมืองพุทธแต่ขาดการพินิจพิจารณาปัญหาแบบพุทธนั้นเห็นทีจะทำให้ประเทศไปได้ยาก การแก้ปัญหาของท่านเป็นการแก้แบบกำปั้นทุบดินทำนองว่า “ลำบากนักใช่ไหม.. ซื้อรถมันซะทุกคนแล้วจะสบายเอง” โดยที่ท่านไม่ได้มองว่าหน้าที่ที่แท้จริงของท่านคืออะไร ผลสุดท้ายรถจะยิ่งติดขึ้นเรื่อยๆ ควันจะยิ่งดำ น้ำมันจะยิ่งแพง …และรัฐบาลเองคงได้ข้ออ้างในการสร้างถนนใหม่อีกหลายสาย ใช่หรือไม่.. ท้ายสุดดิฉันเองซึ่งเป็นประชาชนตาดำๆ ไม่ได้มีปัญญาเดินเข้าสภาไปออกกฎก็ได้ตัดสินใจซื้อรถ ได้ยื่นแบบคืนภาษีกับทางสรรพสามิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสมือนหนึ่งต้องเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ดิฉันรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าตนเองไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลยเพราะการคมนาคมบ้านเราเลวร้ายเหลือเกิน ดิฉันยินดีควักเงินส่วนหนึ่งจากที่เก็บมาทั้งชีวิตมาซื้อรถยนต์ซึ่งดิฉันมองแล้วว่าย่อมดีกว่ามาเสี่ยงกับระบบคมนาคมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในทั้งเรื่องราคา เวลา และความปลอดภัย ดิฉันเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไทยที่ยังโชคดีเพราะมีเงินสดเก็บไว้ แต่ลองนึกถึงคนทั่วๆไปที่มีรายได้ต่อเดือนเดือนละเพียง 5,000-20,000 บาท ต้องผ่อนรถยนต์คันละอย่างต่ำ 400,000 บาท เท่ากับต้องใช้เวลาผ่อน 40 เดือน เดือนละ 10,000 บาทเป็นอย่างต่ำแล้วเงินที่เหลือจะสามารถนำมาใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เราได้ก้าวสู่หลุมดำแห่งการบริโภคแบบโลกที่สามอย่างจริงจัง หลังจากที่คนจำนวนไม่น้อยได้ใช้เงินมากกว่าเงินเดือนซื้อโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ก็มีคนไม่น้อยใช้เงินมากกว่าที่หาได้ 5 ปี มาซื้อรถ อีกหน่อยคงได้เห็นคนซื้อบ้านราคามากกว่าที่หาได้ทั้งชาติ..… ดิฉันไม่อยากเห็นลูกหลานเราในวันนั้นเลยค่ะ อ้างอิงจาก https://www.facebook.com/natdeuxsix?ref=tn_tnmn#!/notes/nat-dh/%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1/10151190350541872

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น