วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พม่า!


คนไทยเราคงจำได้ว่าการเสียกรุงศรีอยุธยาทั้งสองครั้งนั้นเราเสียให้ใคร

เราเสียให้พม่า "พม่ามันชั่ว พม่ามันเลว พม่ามันโหด พม่าเผาวัดวาอารามเรา แล้วเอาไปโปะบนเจดีย์ชะเวดากอง" ก็ว่ากันไป
เราจำได้ถึงชัยชนะเหนือลาว การแย่งชิงพระแก้วมรกตซึ่งนับว่าพระเจ้าตากสินทรงมีพระปรีชาสามารถมากที่นำมาประดิษฐาน ณ มหานครบางกอกได้สำเร็จ เรื่องที่เราทำคนอื่นถือว่าดี เรื่องที่เราโดนทำบ้าง.. เห็นทีจะต้องแค้น นี่ก็เป็นธรรมดาของความรักทุกชนิด ที่ปนความเห็นแก่ตัวและอัตตามาโดยอัตโนมัติ

เราเคยสัมผัสคนพม่าจริงๆกันเสียกี่มากน้อย? นอกจากเด็กปั๊ม พนักงานร้านอาหาร และชนชั้นกรรมาชีพที่ได้ค่าแรงถูกจนไม่น่าเชื่อแล้ว เราเคยนึกไหมว่าจะมีคนพม่าแบบอื่นๆอยู่ด้วย

แน่นอนว่าข่าวเด็กพม่าฆ่าคนเพื่อชิงทรัพย์ ข่าวทำร้ายร่างกาย จี้ปล้น นั้นส่อให้เห็นความชั่วของชนชาตินี้ที่ตรงกับหนังสือเรียนบอกไว้ ข้อมูลหลายชิ้นที่ตรงล็อคกันพอดีนั้นก็ไม่แปลกที่คนไทยจะเชื่อกันไปต่างๆนานา เรื่องหักมุมไม่ได้อยู่ที่ข่าวหนังสือพิมพ์แต่กลับเป็นเรื่องจริงที่สังคมไทยไม่อยากตีแผ่ แรงงานพม่าส่วนใหญ่เท่าที่รู้กันคือถูกกดแรงงานจนไม่เหลืออะไรให้กิน หลายคนเมื่อหนีออกมาจากประเทศก็ถูกรุมทำร้าย ข่มขืน หรือแม้กระทั่งฆ่า คนไทยทำคนต่างชาติที่หนีออกมาอย่างผิดๆแม้ไม่ผิดกฎหมาย ก็เป็นที่แน่นอนว่าผิดศีลธรรม

การไหลเทของคนพม่าในดินแดนไทยนั้นไม่ได้ต่างจากปัญหาแรงงานต่างด้าวของชาติอื่นๆเลย เห็นได้ชัดจาก แรงงานแม็กซิกันในสหรัฐฯ แรงงานตุรกีในอังกฤษ แรงงานโปลิชในยุโรป การถูกกดขี่เป็นเรื่องธรรมดาโดยที่คนเหล่านี้ไม่สามารถหาความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดได้อย่างเป็นรูปธรรม

ย้อนมาที่เรื่องไทย-พม่า

1. ทองบนเจดีย์ชะเวดากองนั้น ไม่ใช่ทองของกรุงศรีฯ คำตอบง่ายๆและน่าเชื่อถือจากปากเพื่อนชาวพม่าคนหนึ่งรับประกันว่าใครเขาจะเอาทองศักดิ์สิทธิ์ของชะเลยไปบูชา เป็นกาลกิณีเปล่าๆ ทองของแต่ละเมืองเชื่อว่ามีเทพคู่บ้านคู่เมืองสิงสถิตอยู่ การนำมาไว้ในเมืองจึงไม่สามารถนำมาวางในสถานที่ที่สำคัญได้ คาดว่าป่านนี้ทองของบ้านเราคงกระจัดกระจายอยู่ในรูปของเครื่องประดับกระมัง

2. เรื่องที่คนไทยแค้นพม่าเห็นๆ คือเรื่องเผากรุงศรีนี่แหละ! ถ้ายังแค้นอยู่กรุณาหาหนังสือ "พม่าเสียเมือง'' ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ มาอ่านให้จบ บาปกรรมที่ใครเขาได้ทำไว้นั้นกลับมาหาเขาแล้วจากการเป็นเมืองขึ้นอังกฤษซึ่งได้ฆ่าความเป็นชนชาติของพม่าและดูดทรัพยากรที่น่าจะมากกว่าทองกรุงศรีไปโปะไว้ที่ลอนดอนจนหมดสิ้น

3. ทรัพย์สินของกรุงศรีอยุธยาคราเสียเมือง ก็มากโขอยู่ที่ถูกไส้ศึกคนไทยขโมยไป ดังนั้นโทษพม่าฝ่ายเดียวจะถูกหรือ?


ข้อสุดท้าย แม้พม่าจะได้รับอิสระจากอังกฤษเมื่อราวหกสิบปีก่อน ปัจจุบันรัฐบาลทหารก็ยังคุมอยู่อย่างแน่นหนา แม้ไม่ได้มีการขับเคลื่อนบนผิวน้ำหรือการฆ่าแกงกันกลางแจ้ง แผนการใต้ดินกลับแยบยลกว่า จึงกล่าวได้ว่าคนพม่าไม่ได้รับอิสรภาพจนถึงทุกวันนี้

คนไทยเองเถอะ ... ไม่ได้เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศใดประเทศหนึ่งก็จริง แต่การยอมรับวัฒนธรรม สื่อ และผลิตภัณฑ์จากทุกประเทศจนเกิด กระแส J-pop,K-pop,Americanization และอีกหลายประเทศทั่วโลก

เราสามารถกล่าวได้เต็มปากแค่ไหนว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้น

สันดาน


วิเคราะห์ดูสิ่งใดในหล้าโลก

ก็มีสุขมีโศกมาผสม

สุขหรือเศร้าเพียงเพราะว่าค่านิยม

ที่เพาะบ่มสันดานมานานปี

ศิลปะแห่งความรัก


เมื่อรู้รัก ประจักษ์ใจ

ก็จงให้ เพียงคุณค่า

จงเข้าใจ ด้วยปัญญา

จงแกร่งกล้า อย่าแก่งแย่ง


จงรู้จัก ให้อภัย

มองข้ามใน ความขัดแย้ง

จงลึกซึ้ง แต่ร้อนแรง

จงเติมแต่ง อย่างธรรมชาติ


ศิลป์แห่งรัก ใช่อื่นใด

เพียงกลไก บรรยากาศ

ศิลป์แห่งรัก ใช่ภาพวาด

แต่คือศาสตร์ ของการหายใจ

องศาอากาศ





ความรู้สึก คือองศา ของอากาศ

มองผ่านผาด ก็เปลี่ยนไป ได้ทุกครั้ง

หมุนมุมมอง เป็นอีกอย่าง ช่างน่าชัง

เมื่อพลาดพลั้ง เปลี่ยนองศา ... ท่าจะดี

On the way to the Star


In a city full of skyscrapers,

there are millions of people.

Will they all meet or will they never?

In one of the corners

of one of the tallest buildings,

a girl is looking for something.

They said it is called the 'star'.

It is only seen from afar.

She climbed down the tallest building.

Grabbed the ladder with both hands,

kept on looking.

Until she reached the ground where she could stand.

She ran as fast as she can

to an unknown place.

The journey began,

as well as her own space.

She kept up the pace,

til she got to the tallest mountain.

Though it was a new scape,

She felt no difference.

So she climbed up again,

until reached the top.

She couldn't see any star,

but she had to stop.


---------------------

So she laid down for a while.

Probably a long time.

Then the stars started rising.

Is this everything?

มิตรภาพนานาชาติ

มิตรภาพ คำสั้นๆที่พาลให้ผู้เขียนนึกถึงสมุดเฟรนชิปที่เขียนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
ล่าสุดที่ได้จับเฟรนชิปเป็นเล่ม ก็เมื่อห้าปีก่อนสมัยใกล้จบม.6 หลังจากย้ายรกรากมาเรียนอยู่ที่เกาะอังกฤษคำว่ามิตรภาพจึงเปลี่ยนความหมายไปเกือบหมด

เมื่อก่อนคำว่ามิตรภาพของผู้เขียนจำกัดความอยู่ในรั้วโรงเรียนเสียเป็นส่วนใหญ่ มีเพื่อน ครู ภารโรง ฯลฯ อย่างมากก็คนขายเสื้อแถวสยามหรือพนักงานร้านฮะจิบังที่กินประจำ ไม่น่าเชื่อว่าโลกของเด็กสาวอายุสิบแปดมันจะแคบถึงเพียงนี้
พอย้ายมาอยู่ลอนดอนคำว่ามิตรภาพนั้นจำเป็นต้องตีความให้กว้างออกไป กว้างออก และกว้างออกไปอีก!
เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะนอกจากปัจจัยทางกายภาพสี่ประการแล้ว ปัจจัยทางสุขภาพจิตจึงบังคับให้ผู้เขียนต้องใจกว้างและมองโลกในแง่ดีไปโดยปริยาย มิฉะนั้นคงอยู่ไม่รอดเนื่องจากตะลุยเมืองใหญ่คนเดียว เริ่มที่ศูนย์จริงๆ

เพื่อนกลุ่มแรกของผู้เขียนได้มาจากหอพักมหา’ลัย เป็นก๊วนเด็กอังกฤษที่เรียกได้ว่า “แนว” ประเภทที่ว่าออกเที่ยวสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่าสามคืน เป็นการเที่ยวแบบเกี่ยวกับงาน นั่นคือคนหนึ่งในกลุ่มเธอเรียนถ่ายภาพแฟชั่น ไปเที่ยวที่ไหนยัยวาเนสซาก็สะพายกล้องไปด้วย อีกคนนายแกรฮ์ม เป็นนักดนตรีหนุ่มเลือดอังกฤษ ตัวสูงราวสองเมตร ชอบใส่เสื้อยืดสีขาวล้วนๆเสมือนเด็กอาร์ตบ้านเรา นายนี่มักได้ตั๋วฟรี หรือรู้จักนักดนตรีและมีอภิสิทธิ์อื่นๆในละแวกหอ สมาชิกขาจรก็มีไปๆมาๆ ผู้เขียนออกเที่ยวกับกลุ่มนี้อยู่ประมาณสองสามครั้ง บางครั้งก็มานั่งกินอาหารและกับแกล้มกันที่หอของนายแกรฮ์มซึ่งทำให้ผู้เขียนได้พบเพื่อนอีกสองคน คนหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น อีกคนเป็นชาวไต้หวัน

พักหลังยัยวาเนสซาต้องกลับบ้านที่เคมบริดจ์บ่อยครั้งเพราะต้องช่วยแม่ผู้เป็นศิลปินจัดนิทรรศการ ส่วนนายแกรฮ์มก็นิยมดูดบุหรี่พี้กัญชาอยู่เนืองนิตย์ ผู้เขียนเองต้องเข้าเรียนโรงเรียนสอนภาษาจึงได้เพื่อนกลุ่มใหม่เป็นชาวญี่ปุ่นและเกาหลีซึ่งก็บ้าไม่ต่างกัน ทั้งยังขยันพาผู้เขียนเดินชอปปิ้งและชมงานศิลป์ต่างๆจนเกิดพุทธิปัญญา ต่างกันก็เพียงแต่เขากินหรือเสพย์อะไรพอเห็นเราเป็นเด็กก็คอยเตือนว่าอย่ายุ่ง ไม่มีการยุยงเหมือนฝรั่งเด็กแนวกลุ่มแรก ศิริรวมคือผู้เขียนอยู่ลอนดอนมาสองปีกว่าโดยไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่เคยทดลองยาเสพย์ติด ขอบคุณพระเจ้า!

ไม่นานต่อมาผู้เขียนก็มีเพื่อนใหม่จากมหา’ลัย เป็นชาวสิงคโปร์และฮ่องกง กิจกรรมที่ทำก็เดิมๆ คือทำกับข้าว ดูงานแสดงศิลปะและเดินเตร็ดเตร่เที่ยวชมบรรยากาศ เรื่องน่าสังเกตคือในระยะแรกเราจะมองคนจากเชื้อชาติหรือสัญชาติ สักระยะสิ่งเหล่านี้กลับลดคุณค่าลง กลายเป็นว่าเรามองคนนี้อย่างไร เห็นภาพอะไรในตัวเขา โดยปราศจากกำแพงหรือคำนิยามเกี่ยวกับพื้นเพและรูปพรรณสัณฐาน

ผู้เขียนเคยคิดว่าการมาอยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่เราพูดภาษาไม่ได้เท่าคนท้องถิ่น ไม่เข้าใจระบบการดำเนินการของสังคม และยังมีค่าครองชีพสูงกว่าประเทศเราประมาณห้าถึงหกเท่านั้นเป็นการลดระดับคุณภาพชีวิตรวมถึงระดับความเป็นมนุษย์ และเมื่อคำว่า “วัฒนธรรม” แทบไร้ความหมายเราเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากสัตว์ที่มีสัญชาตญาณเป็นลมหายใจ


สภาวะการถูกปล่อยเกาะกลางเมืองใหญ่เช่นนี้สิ่งที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดไม่ใช่ความคิด แต่คือสัญชาตญาณล้วนๆ


หลายคนชอบมาอยู่ต่างประเทศเพราะอิสรภาพ ทำอะไรไม่ต้องคิดว่าใครจะมองอย่างไร ไม่ต้องห่วงพ่อแม่รู้ เป็นการคิดแบบปัจเจกชนนิยมซึ่งมองในทางกลับกันก็คล้ายพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไปที่ไม่ได้มีโครงสร้างทางสังคมซับซ้อน เราเองไม่ได้ต่างจากสัตว์

มิตรภาพสำหรับผู้เขียนเป็นเรื่องน่ารักของสัญชาตญาณตามธรรมชาติ คล้ายๆกับที่แม่ลิงเลี้ยงดูลูกลิง แม่เสือเลียทำความสะอาดร่างกายลูก หรือแม้กระทั่งผีเสื้อบินดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้
มิตรภาพเป็นส่วนประกอบของระบบนิเวศที่ดำเนินไปตามครรลองเพื่อให้มนุษย์อยู่รอด
ผลพวงของสัญชาตญาณที่เรียกว่ามิตรภาพนี้ แปลงเป็นสมการได้ว่า

มิตรภาพ = ความจริงใจ + ความรู้สึกที่ดี + ความไม่แบ่งแยก

หรือหากไม่คิดมากมิตรภาพก็คือรอยยิ้มและแววตาที่จริงใจเท่านั้น มิตรภาพไม่มีพิษมีภัยกับใครหรือหากผู้อ่านท่านใดคิดว่ามี นั่นก็เป็นเพราะท่านได้ไปเจอมิตรภาพของปลอมหรือที่เรียกว่า “เฟค” เข้าแล้ว



---------------

เขียนลงคอลัมน์ " บางคนกินขนมปัง '' นิตยสารออนไลน์ อิ่มทิพย์ ฉบับแรก ปลายเดือนเมษายน
สงวนลิขสิทธิ๋ 2009

The Fear: Lily Allen







ฉันอยากรวย อยากมีเงินใช้เยอะๆ

ไม่สนหรอก ว่าจะโง่หรือใครจะหาว่าเลอะเทอะ

อยากมีเสื้อผ้าสวยๆ อยากมีเพชรกองล้นฟ้า

กว่าจะได้คงตายก่อน มีแต่คนคอยค่อนว่า

และถ้าตอนนี้ฉันแก้ผ้า ก็คงน่าอายแน่ๆ

เพราะใครก็รู้ว่า เป็นแค่การสร้างกระแส

ฉันมองดวงอาทิตย์ มองกระจกอย่างมั่นใจ

ฉันมาถูกทางแล้ว ..ชัยชนะอยู่ใกล้ๆ

ฉันไม่รู้หรอก... อะไรถูกอะไรจริง

ทุกๆสิ่ง ... ฉันควรโต้ตอบยังไง

บางครั้งเหมือนเริ่มชัดแต่ก็ไม่โปร่งใส

เพราะฉันถูกความกลัว…. ครอบงำไว้

พ่อแม่ไม่สนใจ วันๆง่วนอยู่กับดารา

พบคนผ่านไปมา รถราเร็วเล็กใหญ่

แต่ก็ช่างเถอะ ยังไงฉันก็ทำจากพลาสติก

ช่างน่าภูมิใจ..ดีขึ้นอีกแล้วสิชีวิต

ฉันน่ะ.. เป็นอาวุธของบริโภคนิยม

ไม่ผิดหรอกนะ ..เพราะฉันถูกวางโปรแกรมไว้

ฉันมองดวงอาทิตย์ มองกระจกอย่างมั่นใจ

ฉันมาถูกทางแล้ว ..ชัยชนะอยู่ใกล้ๆ

ลืมซะเถอะปืน ลืมเถอะกระสุนนั่น

ฉันฆ่าไปหมดแล้ว กับการบริโภคของฉัน

ฉันไม่ใช่แม่พระ และก็ไม่ใช่คนชั่ว

อะไรก็ไม่น่ากลัว ตราบใดที่ฉันหุ่นเพรียวบาง

ฉันไม่รู้หรอก... อะไรถูกอะไรจริง

ทุกๆสิ่ง ... ฉันควรโต้ตอบยังไง

บางครั้งเหมือนเริ่มชัดแต่ก็ไม่โปร่งใส

เพราะฉันถูกความกลัว…. ครอบงำไว้


I want to be rich and I want lots of money
I don`t care about clever I don`t care about funny
I want loads of clothes and f***loads of diamonds
I heard people die while they are trying to find them

I`ll take my clothes off and it will be shameless
`Cuz everyone knows that`s how you get famous
I`ll look at the sun and I`ll look in the mirror
I`m on the right track yeah I`m on to a winner

Chorus
I don`t know what`s right and what`s real anymore
I don`t know how I`m meant to feel anymore
When we think it will all become clear
`Cuz I`m being taken over by The Fear

Life`s about film stars and less about mothers
It`s all about fast cars and passing each other
But it doesn`t matter cause I`m packing plastic
and that`s what makes my life so f***ing fantastic

And I am a weapon of massive consumption
and its not my fault it`s how I`m program to function
I`ll look at the sun and I`ll look in the mirror
I`m on the right track yeah I`m on to a winner

Chorus
I don`t know what`s right and what`s real anymore
I don`t know how I`m meant to feel anymore
When we think it will all become clear
`Cuz I`m being taken over by The Fear

Bridge
Forget about guns and forget ammunition
Cause I`m killing them all on my own little mission
Now I`m not a saint but I`m not a sinner
Now everything is cool as long as I`m getting thinner

Chorus
I don`t know what`s right and what`s real anymore
I don`t know how I`m meant to feel anymore
When we think it will all become clear
`Cause I`m being taken over by fear

การศึกษาให้อะไรกับเรา


โดยสามัญ สัญชาตญาณมักสั่งให้มนุษย์ตั้งคำถาม ยากง่าย ตื้นลึกก็แล้วแต่นิสัย สันดาน หรือการเลี้ยงดู

บังเอิญฉันเป็นคนช่างถาม แต่ถามแล้วมักไม่ได้รับคำตอบ ตั้งแต่เล็กจนโตจึงมักลองเอง เจ็บเอง แล้วก็ไม่ค่อยเข็ด

มีอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถามเลยซึ่งเป็นการมองข้ามที่ภาษาเหนือเรียกว่า 'ง่าว' หรือโง่สุดๆ

คำถามนั้นคือ 'การศึกษาให้อะไรกับเรา'

จะเพราะอะไรก็ขี้เกียจจะโทษใคร ไม่ใช่ความผิดของระบบ ของพ่อแม่ หรือตัวเราเอง หรืออาจเป็นทุกเหตุปัจจัย
ที่โฮะ(ภาษาเหนือแปลว่าผสม)รวมกันจนหล่อหลอมความเชื่อที่ว่า

'การศึกษานั้นสำคัญอย่างยิ่ง' .. ในสภา เวลาอะไรไม่ได้อย่างใจก็โทษว่าการศึกษามันห่วย

คนกรุงเทพหรือคนมีใบปริญญาด่าพวกที่เลือกเสื้อแดงว่า 'ไร้การศึกษา' เออ! มีแล้วมันดีอย่างไร





เรามาลองมองกันสองมุมดีกว่า


มุมของคนไม่มีการศึกษา (ไม่ใช่คำด่า แต่หมายความถึงคนที่มีวุฒิต่ำกว่าปริญญาตรี)

ซึ่งแยกเป็นหลายกลุ่มด้วยกัน

กลุ่มที่หนึ่ง กลุ่มที่อาจกำลังไต่ขึ้นไปสู่ใบปริญญาที่ปุถุชนคิดว่าสำคัญด้วยการทำงานเก็บเงิน เรียนภาคค่ำ
ขณะเดียวกัน อาจทำงานอื่นไปด้วย

กลุ่มที่สอง กลุ่มที่มองข้ามใบปริญญาไปจริงๆ คือไม่เห็นว่าคำนี้มีตัวตนสักเท่าไร ศรัทธาในชีวิตของตัวเอง
กลุ่มที่สองอาจมาจากกลุ่มแรกที่ผิดหวัง แล้วปรับตัวได้ หรืออาจไม่สนใจการศึกษาเลยตั้งแต่ต้น
เพราะวัฒนธรรมในครอบครัวหล่อหลอมหรือปัจจัยในชีวิตเอื้อ

กลุุ่มที่สาม กลุ่มที่อยากมีการศึกษาแต่มีไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง อยากมีเพราะเจ็บปวดในระบบชนชั้นที่สังคมโลกที่สามยัดเยียดให้ ไม่ใช่เพราะสนใจในตัวความรู้



มุมต่อมาคือมุมของคนมีการศึกษา ซึ่งเดินชีวิตตามวิถีสามัญ เรียนเพราะสนใจเองหรือบุพการีชี้แนะก็สุดแท้แต่

แน่นอน กลุ่มนี้มองว่าการศึกษาสำคัญ


ก่อนถกประเด็นว่าการศึกษาให้อะไรกับเรา ฉันจำเป็นต้องบอกผู้อ่านว่าประเทศไทยนั้นมีจำนวนชนชั้นแรงงานเป็นอันดับสี่ของโลก คือ 52% (โดย The Economist,2007) ของประชาชนทั้งประเทศอยู่ในกลุ่มใช้แรงงาน และแน่นอนว่าไม่มีการศึกษา

คำว่า รากหญ้า ,แรงงาน ที่ทำให้การแยกชนชั้นนั้นชัดเจนขึ้นไปอีก เท่ากับด่าคนเกินครึ่งประเทศ

อีก 48% นั้นแยกเป็นชนชั้นอีกหลายระดับ ชนชั้นกลางอันประกอบด้วยตอนล่างและตอนบน รวมไปถึงกลุ่มที่เรียกว่าไฮโซซึ่งมีจำนวนน้อยนิด จึงมักปรากฏหราบนหน้าหนังสือเพราะหาดูยาก .. มีชื่อพันธุ์เป็นนามสกุล คล้ายๆติดป้ายดูหมีแพนด้าจากเซี่ยงไฮ้ ...ว่าไปโน่น
ใน 48% นี้มีเพียงไม่ถึง 30% ทีจบการศึกษาขั้นปริญญาตรี

สิ่งที่รัฐบาลทำ แบบง่ายๆ โง่ๆ เร็วๆ คือการยกระดับราชภัฏเป็นมหาวิทยาลัย (ด้วยการแค่เปลี่ยนชื่อหน้าราชภัฏและเปลี่ยนบางวิชา) อยากทราบว่าทำไปเพื่อ? เพื่อเปลี่ยนจำนวนตัวเลขคนจบปริญญาในแต่ละปีเท่านั้น หาได้เปลี่ยนอัตราการว่าจ้างไม่

ประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม เราโตจากราก เราโตจากหญ้า .. เราโตจากชนชั้นรากหญ้า
สินค้าส่งออกทั้งหลายล้วนผลิตจากคนที่เราใช้คำด่าว่า 'ไร้การศึกษา'

ทบวงมหาวิทยาลัยใช้งบประมาณรัฐในแต่ละปีเพื่อจ้างบุคลากรครู และอุปกรณ์การศึกษาให้นักศึกษาได้เรียนในราคาถูก ความจริงแล้วน่าจะเป็นการบอกอ้อมๆว่าเมื่อจบการศึกษาเราควรเห็นคุณค่าของแผ่นดินบ้าง
(อย่างน้อยก็ไม่น่าจะจบมาแล้วเหยียดหยามคนที่การศึกษาต่ำกว่า)

แล้วการศึกษาให้อะไรกับเรา?

ถามฉัน : การศึกษาทำให้ฉันรู้จักคิดอย่างเป็นระบบ รู้จักตัวเอง และเข้าใจโลกมากขึ้น แต่นั่นฉันหมายถึงแค่การศึกษาที่ได้รับจากต่างประเทศเท่านั้น
การศึกษาในเมืองไทย สิ่งที่ได้มากที่สุดคือ คำว่า เพื่อน และประสบการณ์ชีวิต ความรู้ได้มากจากการอ่านนอกห้องเรียน และทำกิจกรรมนอกเวลา

ถามคนไม่มีการศึกษา กลุ่มที่หนึ่ง :

พี่เล็ก ช่างทำผม: การศึกษาเหรอ ไม่ได้ให้อะไรหรอก ถามว่าดีมั้ยได้เรียนนิติ ..ก็ดีนะ ทำให้อ่านหนังสือเร็วขึ้น
จบมามีวุฒิ แต่เราก็เป็นช่างทำผมเหมือนเดิม จะไปสอบเป็นอัยการ เป็นอะไร เขาไม่ให้เราเป็นหรอก เราเกิดมาอย่างงี้ ทำผมดีกว่า คุยกับลูกค้า ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร
คนขับแท็กซี่ ทองหล่อ: ผมว่าดีนะ ..ลงเรียนรามฯ ไปสอบบางเวลา คุณรู้มั้ยคนขับแท็กซี่เป็นอาชีพที่เท่ห์นะ
อย่างน้อยเรามีวุฒิ มีตัวเลือกมากขึ้นเผื่อวันไหนเบื่อจะได้ไปทำอย่างอื่น ไม่ต้องง้อเถ้าแก่

ถามคนไม่มีการศึกษา กลุ่มที่สอง:

น้าต้อย(นามสมมติ) แม่เพื่อน: นี่จบปอสี่กันทั้งน้าทั้งแฟนนะ ลูกคนเล็กเรียนเอก คนโตจบจุฬาฯเกียรตินิยม
คนเราถ้าเก่งก็หาทางกันไป ไม่จำเป็นต้องมีหรอก ขนาดไม่เรียนยังทำได้เลย
ไม่ต้องให้ใครมาดูถูกเรา มีบ้านมีรถ เรียนไม่เรียนไม่เป็นไร ต้องขยันทำมาหากิน
ลุงเฮือน คนขับสองแถว: เรียนหนังสือก็ไม่มีกินนะสิ ขับรถทุกวัน มีกินตลอด ได้เงินสด
ไม่ต้องพึ่งธนาคาร รถแดงนี่ก็ซ่อมฟรี เพื่อนซ่อมให้ตลอด ใครมีใครอวดก็ไม่ต้องยุ่งกับเขา
เราใส่เสือ้ม่อฮ่อม ร้อนก็สบาย หนาวก็ผูกผ้าพันคอ

ถามคนไม่มีการศึกษา กลุ่มที่สาม:

พี่แว่น มอเตอร์ไซค์: นี่น้องเรียนจุฬาเหรอ (ถามฉันกลับขณะซิ่ง) เออ ! เปล่าไม่ได้ว่าอะไร
เห็นหน้าเหมือนเด็ก จุฬาฯ ได้เรียนหนังสือก็ดีนะ ไม่ต้องมาขี่มอเตอร์ไซค์ ร้อน!
(ไม่ได้ขี่แต่ได้นั่งก็ร้อนเหมือนกันแหละพี่.. ฉันตอบกลับ) เออ เอาวะ
ได้เรียนโตขึ้นก็มีรถขี่จะได้ไม่ต้อง มานั่งตากแดด แฟนพี่นะ เรียนมอกรุงเทพ
เห็นพวกดอกเตอร์อะไรออกมาพูดภาษาฟังไม่รู้เรื่อง ได้เงินเดือนดี ขับเบนซ์
ไอ้เรามันไม่ได้เรียนหนิ ขี่มอ'ไซค์กันไป

ถามคนมีการศึกษาทั่วไปก็ตอบได้ง่ายๆว่า ได้มีงานมีเงิน ทำมาหากิน ไม่ต้องพึ่งใคร ได้บ้าน ได้รถ ได้ช่วยพ่อแม่


สรุปง่ายๆโดยไม่ต้องเขียนให้ยาว: การศึกษา คือเครื่องมือสู่คุณภาพชีวิตที่ดี

คุณภาพชีวิตที่ดีในมุมมองทั่วไป คือ มีบ้าน มีรถ มีครอบครัวที่ดี ไม่มีหนี้
ปัจจัยอะไรก็ตามที่นำไปสู่สิ่งเหล่านี้ได้ก็นับว่าสำคัญ

การศึกษาแม้เป็นสิ่งประกันคุณภาพชีวิตได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้รับประกันความเป็นคน ความเป็นมนุษย์

ไม่ได้รับประกันสุขภาพกายและจิตที่ดี

การศึกษาไม่อาจทำให้ใครสูงกว่าใคร

ใบปริญญาไม่ได้ทำให้ใครฉลาดกว่าใคร หรือมีสิทธิ์ดูถูกใคร ..

สถาบันก็เช่นกัน ไม่ได้มีไว้อวดเบ่ง


คนเก่ง คนฉลาด คนดี ..คนรู้จักคิด จะมีการศึกษาหรือไม่ก็ย่อมมีความสุข ย่อมประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่สมบูรณ์ได้โดยไม่ต้องรอนิพพาน

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไม้บรรทัดวัดความสำเร็จ

ความสำเร็จเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องไม่แน่นอน ความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากก
ารเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง
หลายครั้งมันเล่นกลกับเรา ... จะเพราะอะไรกัน เพราะไม้บรรทัดวัดความสำเร็จมันไม่เคยตรงสักที
อาจเรียกได้ว่าไม่มีรูปร่างเลยมากกว่า

ความสำเร็จ ความล้มเหลว การเปรียบเทียบ บ่อยครั้งเกิดจากคำถาม

ตอนอนุบาลจำได้ว่าคำถามที่มีคนถามบ่อยๆคือ

"สูงเท่าไร, กี่ขวบแล้วคะ," จากผู้ใหญ่
จากเพื่อนๆด้วยกันก็จะถามว่า " วันนี้มีอะไรมาเล่นบ้าง"

แล้วเริ่มเกิดการเปรียบเทียบของเล่นตามประสาเด็กเล็กๆ

ชั้นประถมคำถามจากผู้ใหญ่เปลี่ยนไปเป็น

"สอบได้ที่เท่าไร , ได้เกรดเท่าไร" เลยไปจนถึงชั้นมัธยม

พอวัยรุ่น คำถามก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กหวานแหววแทรกเข้ามาตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

วัยมหาวิทยาลัย ก็เหมือนเดิม คือได้เกรดเท่าไร หรือฝึกงานที่ไหน

เข้าวัยทำงานคำถามเปลี่ยนไปอีก.. เป็นประโยคที่ว่า

" ได้เงินเดือนเท่าไร "

ประเด็นของบทความนี้ไม่ใช่คำถาม หรือคำตอบ แต่อยู่ที่วิธีคิด

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์ที่ชอบเปรียบเทียบ
ซึ่งบ่อยครั้งมองผลมากกว่าเหตุ

กรณีศึกษาที่ 1:

นายเอไม่ได้เกียรตินิยม เรียนจบได้เงินเดือนหมื่นห้

นายบีได้เกียรตินิยม เรียนจบได้เงินสองหมื่น

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

นายเอ ช่วยแม่ขายของที่ร้านชำทุกวัน ตื่นตีห้า รีบกลับจากมหาวิทยาลัย เฝ้าร้านถึงห้าทุ่ม
บางวันต้องไปนอนเฝ้ายายที่ป่วยและรับงาน Freelanceถ่ายภาพ ไปด้วยเพื่อช่วยส่งน้อง
นายเอ นอนไม่ค่อยพอ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ

นายบี ฐานะปานกลาง บ้านมีคนใช้ ขยันเรียนมาก ช่วยงานบ้านบางครั้ง
สุขภาพดีกว่านายเอ เพราะมีเวลาเล่นกีฬานายบีจึงดังมาก และเป็นที่นิยมของสาวๆ

ไม้บรรทัดแรกว่าด้วยเงินเดือน
นายบีชนะ

ไม้บรรทัดที่สองว่าด้วยประโยชน์ต่อครอบครัว
นายเอชนะ

ไม้บรรทัดที่สามว่าด้วยความสามารถ
นายเอ ถ่ายภาพเก่ง นายบีเล่นกีฬาเก่ง เสมอกัน

ไม้บรรทัดที่สี่ว่าสุขภาพ
นายบีชนะ

ไม้บรรทัดที่ห้าว่าด้วยความสุข

เราไม่สามารถวัดได้

นี่แค่ตัวอย่างคร่าวๆ


กรณีศึกษาที่ 2:

นายซี เรียน Stanford ไปฝึกงานสามเดือน ได้ค่าแรงการเป็น Programmer รวม 10,000 USD หรือ 340,000

นายดี นักศึกษาไทยซึ่งเป็น Programmer เหมือนกันทราบข่าว จึงสมัครฝึกงานที่เดียวกัน
แต่ไม่ได้ค่าแรงเลยจึงบ่นว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม โดยหามองสาเหตุไม่

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

นายซี ขยันเรียนมาก จนสอบได้ที่หนึ่งของประเทศ ตื่นหกโมงเช้าทุกวันเป็นเวลาห้าปีเพื่ออ่านหนังสือ
โดยอ่านหนังสือ ทำการบ้านเฉลี่ยวันละห้าชม.
ผลการเรียนในมหาวิทยาลัยระดับโลกเป้นที่น่าชื่นชม เพราะนายซีหัดปรับตัว เข้าหาผู้คน และเปิดรับสิ่งใหม่

นายดี ตื่นเก้าโมงเช้า อ่านหนังสือทำการบ้านวันละสองชั่วโมง บังเอิญเทียบกับเพื่อนถือว่าขยัน
จึงเข้าใจว่าตัวเองเก่งมาก

กรณีศึกษาที่ 3:

นางสาวอี เพิ่งจบตรีสาขาแต่งหน้าจากลอนดอน แต่เคยทำงานให้หนัง Hollywood มาแล้วสามเรื่อง
สมัครงานเข้าทีมแต่งหน้าเรื่องพระนเรศวรแล้วได้งานทันที ค่าตัวปีละ 5 แสนบาท

นางสาวจี เพิ่งจบสาขาเดียวกัน ที่เมืองไทย แต่งหน้างานแต่งงานมาแล้วนับไม่ถ้วน
ได้งานที่เดียวกัน ค่าตัวปีละ 1 แสนบาท

เมื่อรู้รายได้นางสาวอีจึงขอเพิ่มค่าตัวแต่ไม่ได้ โดยนางสาวจีเองก็ไม่ทราบสาเหตุ

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

ทั้งคู่ต่างเป็นเด็กกำพร้า นางสาวอีและนางสาวจี เรียนโรงเรียนเดียวกัน ฐานะไม่แตกต่างกัน
นางสาวอี ขยันสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยได้เวลาปิดเทอมก็ไม่ไปเที่ยวเหมือนคนอื่นๆ กลับร่อนใบสมัครฝึกงาน
จนได้ทำงานกับหนัง Hollywood ไม่ได้ค่าตัว แต่อยู่กินฟรีและได้ประสบการณ์

นางสาวจี เรียนโรงเรียนทั่วไป แต่งหน้าเวลาว่าง รับงานเสาร์อาทิตย์ ไม่เคยฝึกงาน ขยันเป็นพักๆ


ไม้บรรทัดวัดความสำเร็จนั้นอาจเป็นนามธรรม โดยขึ้นอยู่กับว่าความสำเร็จของแต่ละคนคืออะไร
บ่อยครั้งการมองคนจากสิ่งที่เขาเป็นนั้นดูไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราไม่เคยรู้ว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร

นายบีไม่ควรดูถูกนายเอ

นายดีไม่ควรอิจฉานายซี

นางสาวจี หากรู้เบื้องหลังเงินเดือนของนางสาวอีก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยต่อไปเช่นกัน

มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในเรื่องความสำเร็จ ขอเพียงอย่ามองที่ผล มองที่ความสามารถในการพัฒนาตัวเองดีกว่า

ชีวิตที่สองของAVATAR

“อวตาร” ศัพท์ที่คนไทยได้ยินจนคุ้นหู หากแต่ผ่านพบเพียงการบรรยายในมุมมองของศาสนา
หารู้ไม่ว่าวันหนึ่งผู้กำกั
บยักษ์แห่งวงการฮอลลีวู้ดจะหยิบมาเป็นชื่อภาพยนตร์แนวที่ชาวบ้านเรียกว่าไซไฟแฟนตาซี




เบื้องหลังฉากเลอเลิศนั้นแฝงปรัชญาน่าคิดหลายประการซึ่งสะท้อนสังคมอันซับซ้อนทว่าฉาบฉวย หากใครเคยได้ยินทฤษฎีว่าด้วยชีวิตที่สองคงมองการเสียดสีของ AVATAR ได้ชัดเจน

ชีวิตที่สอง หรือ Second Life นั้นคือการมีตัวตนอยู่ในอีกโลก ซึ่งโดยทั่วไปคำนี้ใช้กับสังคมออนไลน์ ตั้งแต่เกมออนไลน์ เฟซบุ๊ค ไปจนถึงการติดต่อเป็นระบบเน็ตเวิร์คของฐานทัพอย่างที่ตัวหนังนำเสนอ สิ่งล่อแหลมของชีวิตที่สองเป็นเหมือนที่ Jake บทนำกล่าวซ้ำๆในครึ่งแรกว่า..
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือ
ตื่น อะไรคือหลับ.. อะไรคือเรื่องจริงอะไรคือความฝัน
ทางแยกอยู่ตรงที่ว่า.. คุณจะอยู่อย่างสมดุลระหว่าง
ความจริงกับความฝัน หรือคุณจะเลือกข้างแล้วเกิดใหม่ในอีกดินแดน

ประเด็นสนุกชวนฉุกคิดซึ่งคล้ายๆกับหนังเน้น Computer Graphic เรื่องก่อนหน้าอย่าง Happy Feet และ Finding Nemo คือการแสดงให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมซึ่งมนุษย์เราดูจะลืมไปแล้วว่า
เราคือส่ว
นหนึ่งของธรรมชาติ
ลองคิดดูว่าปัจจัยสี่ที่เราอุปโภคบริโภคนั้นมาจากธรรมชาติแท้ๆสักกี่อย่าง ตรงนี้เองที่ทำให้ความผูกพันหายไป เมื่อเส้นใยดังกล่าวบางลง คนจึงรู้สึกว่าอยู่ได้โดยไม่มีธรรมชาติ

เราลืมชีวิตแรกที่อยู่ในท้องแม่ ได้รับความอบอุ่นจากร่างกายของคนที่รักเรา
ได้ลองวิ่งเล่น หกล้ม เจ็บปวด ได้กินอาหารอร่อยมื้อแรก ได้ลองปลูกต้นไม้เองเป็นครั้งแรก
ได้ชมดอกไม้ในสวนสาธารณะ ได้ชกต่อยกับเพื่อน จนเลือดที่ไหลจริงนั้นอาจทำให้เจ็บและกลัว
เราเริ่มเรียนรู้สิ่งที่ทำให้เจ็บ ให้จำ เราถอยจากชีวิตจริงหนึ่งก้าวแล้ววิ่งสู่ชีวิตที่สอง ที่ที่ปมด้อยไม่เป็นปัญหา Jakeเอง หลงรักโลกใบใหม่ก็ด้วยขาที่ยาวและร่างกายอันไร้ขีดจำกัด อิสรภาพอันไร้ขอบเขต บรรทัดฐานทางสังคมที่แตกต่างเปิดมุมมองของเขาให้กว้างกว่าห้องบังคับบัญชา ความรู้สึกที่ “จริง” ยิ่งกว่าสิ่งที่เคยประสบกลับกระตุ้นจิตใต้สำนึกของวัยเยาว์ให้เบ่งบานอีกครั้ง

ผู้ชมภาพยนตร์หลายท่านอาจต้องการโลกใบใหม่เช่นนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะทีมสร้างได้ลงทุนมหาศาลกับ Special Effects จนเหมือนจริงทุกรายละเอียด(แม้ฉากเลิฟซีนจะทำให้ขนลุกมากกว่าเกิดอารมณ์คล้อยตาม)
ดนตรีที่เหมาะสมกับภาพ
นักแสดงชั้นเยี่ยม ตลอดจนการวางโครงเรื่องที่อาจกล่าวได้ว่าลงตัวทุกกระเบียด แม้ในมุมมองของฉันเห็นว่าตั้งใจให้ลงตัวเกินไปจนคาดเดาได้ แม้ตื่นเต้นแต่ก็เห็นไส้ ถ้าไร้ฉากแอคชั่นกับภาพสีสวยหนังเรื่องนี้คงจืดชืดลงมา
ถึงบทภาพยนตร์จะมีคำคมน่าคิดบ้าง ก็ไม่ได้มีบทบาทมากเท่าฉาก เพราะตัวหนังดำเนินเรื่องด้วยภาพเสียมากกว่า

ประเด็นที่ AVATAR สะกิดด่าบรรพบุรุษของตัวเองอย่างชัดเจน(แม้จะไม่ทันแล้ว)
คือการรุกล้ำวัฒนธรรมพื้นเมืองอินเดียนอเมริกัน ซึ่งช่วงที่คนอังกฤษเข้ายึดครองได้อ้างถึงการมาของตนจากอนาคต อ้างตนเป็นผู้รับประกันความศิวิไลซ์ แล้วโค่นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งประเทศ เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว และยังทำอยู่โดยประเทศพัฒนาแล้ว ทำกับโลกที่สามอย่างที่เห็นในเหมืองแร่โปรแตชบ้านเรา หรือกระทั่งโรงงานน้อยใหญ่ ทั่วอาฟริกา

อันที่จริงคนเราจะมีกี่ชีวิตไม่สำคัญ ..สำคัญที่ว่าเราตระหนักหรือไม่ว่าสิ่งที่เราไม่ยี่หระ ได้กระทบคนเป็นล้าน
หากมีชีวิตเดียวแล้วมีคุณค่าก็ไม่ต้องรอเกิดใหม่ หรือให้ใครเขาไล่ไปเกิดใหม่