วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไม้บรรทัดวัดความสำเร็จ

ความสำเร็จเป็นเรื่องตลก เป็นเรื่องไม่แน่นอน ความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากก
ารเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง
หลายครั้งมันเล่นกลกับเรา ... จะเพราะอะไรกัน เพราะไม้บรรทัดวัดความสำเร็จมันไม่เคยตรงสักที
อาจเรียกได้ว่าไม่มีรูปร่างเลยมากกว่า

ความสำเร็จ ความล้มเหลว การเปรียบเทียบ บ่อยครั้งเกิดจากคำถาม

ตอนอนุบาลจำได้ว่าคำถามที่มีคนถามบ่อยๆคือ

"สูงเท่าไร, กี่ขวบแล้วคะ," จากผู้ใหญ่
จากเพื่อนๆด้วยกันก็จะถามว่า " วันนี้มีอะไรมาเล่นบ้าง"

แล้วเริ่มเกิดการเปรียบเทียบของเล่นตามประสาเด็กเล็กๆ

ชั้นประถมคำถามจากผู้ใหญ่เปลี่ยนไปเป็น

"สอบได้ที่เท่าไร , ได้เกรดเท่าไร" เลยไปจนถึงชั้นมัธยม

พอวัยรุ่น คำถามก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กหวานแหววแทรกเข้ามาตามการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

วัยมหาวิทยาลัย ก็เหมือนเดิม คือได้เกรดเท่าไร หรือฝึกงานที่ไหน

เข้าวัยทำงานคำถามเปลี่ยนไปอีก.. เป็นประโยคที่ว่า

" ได้เงินเดือนเท่าไร "

ประเด็นของบทความนี้ไม่ใช่คำถาม หรือคำตอบ แต่อยู่ที่วิธีคิด

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์ที่ชอบเปรียบเทียบ
ซึ่งบ่อยครั้งมองผลมากกว่าเหตุ

กรณีศึกษาที่ 1:

นายเอไม่ได้เกียรตินิยม เรียนจบได้เงินเดือนหมื่นห้

นายบีได้เกียรตินิยม เรียนจบได้เงินสองหมื่น

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

นายเอ ช่วยแม่ขายของที่ร้านชำทุกวัน ตื่นตีห้า รีบกลับจากมหาวิทยาลัย เฝ้าร้านถึงห้าทุ่ม
บางวันต้องไปนอนเฝ้ายายที่ป่วยและรับงาน Freelanceถ่ายภาพ ไปด้วยเพื่อช่วยส่งน้อง
นายเอ นอนไม่ค่อยพอ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ

นายบี ฐานะปานกลาง บ้านมีคนใช้ ขยันเรียนมาก ช่วยงานบ้านบางครั้ง
สุขภาพดีกว่านายเอ เพราะมีเวลาเล่นกีฬานายบีจึงดังมาก และเป็นที่นิยมของสาวๆ

ไม้บรรทัดแรกว่าด้วยเงินเดือน
นายบีชนะ

ไม้บรรทัดที่สองว่าด้วยประโยชน์ต่อครอบครัว
นายเอชนะ

ไม้บรรทัดที่สามว่าด้วยความสามารถ
นายเอ ถ่ายภาพเก่ง นายบีเล่นกีฬาเก่ง เสมอกัน

ไม้บรรทัดที่สี่ว่าสุขภาพ
นายบีชนะ

ไม้บรรทัดที่ห้าว่าด้วยความสุข

เราไม่สามารถวัดได้

นี่แค่ตัวอย่างคร่าวๆ


กรณีศึกษาที่ 2:

นายซี เรียน Stanford ไปฝึกงานสามเดือน ได้ค่าแรงการเป็น Programmer รวม 10,000 USD หรือ 340,000

นายดี นักศึกษาไทยซึ่งเป็น Programmer เหมือนกันทราบข่าว จึงสมัครฝึกงานที่เดียวกัน
แต่ไม่ได้ค่าแรงเลยจึงบ่นว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม โดยหามองสาเหตุไม่

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

นายซี ขยันเรียนมาก จนสอบได้ที่หนึ่งของประเทศ ตื่นหกโมงเช้าทุกวันเป็นเวลาห้าปีเพื่ออ่านหนังสือ
โดยอ่านหนังสือ ทำการบ้านเฉลี่ยวันละห้าชม.
ผลการเรียนในมหาวิทยาลัยระดับโลกเป้นที่น่าชื่นชม เพราะนายซีหัดปรับตัว เข้าหาผู้คน และเปิดรับสิ่งใหม่

นายดี ตื่นเก้าโมงเช้า อ่านหนังสือทำการบ้านวันละสองชั่วโมง บังเอิญเทียบกับเพื่อนถือว่าขยัน
จึงเข้าใจว่าตัวเองเก่งมาก

กรณีศึกษาที่ 3:

นางสาวอี เพิ่งจบตรีสาขาแต่งหน้าจากลอนดอน แต่เคยทำงานให้หนัง Hollywood มาแล้วสามเรื่อง
สมัครงานเข้าทีมแต่งหน้าเรื่องพระนเรศวรแล้วได้งานทันที ค่าตัวปีละ 5 แสนบาท

นางสาวจี เพิ่งจบสาขาเดียวกัน ที่เมืองไทย แต่งหน้างานแต่งงานมาแล้วนับไม่ถ้วน
ได้งานที่เดียวกัน ค่าตัวปีละ 1 แสนบาท

เมื่อรู้รายได้นางสาวอีจึงขอเพิ่มค่าตัวแต่ไม่ได้ โดยนางสาวจีเองก็ไม่ทราบสาเหตุ

เบื้องหลังสิ่งดังกล่าว

ทั้งคู่ต่างเป็นเด็กกำพร้า นางสาวอีและนางสาวจี เรียนโรงเรียนเดียวกัน ฐานะไม่แตกต่างกัน
นางสาวอี ขยันสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยได้เวลาปิดเทอมก็ไม่ไปเที่ยวเหมือนคนอื่นๆ กลับร่อนใบสมัครฝึกงาน
จนได้ทำงานกับหนัง Hollywood ไม่ได้ค่าตัว แต่อยู่กินฟรีและได้ประสบการณ์

นางสาวจี เรียนโรงเรียนทั่วไป แต่งหน้าเวลาว่าง รับงานเสาร์อาทิตย์ ไม่เคยฝึกงาน ขยันเป็นพักๆ


ไม้บรรทัดวัดความสำเร็จนั้นอาจเป็นนามธรรม โดยขึ้นอยู่กับว่าความสำเร็จของแต่ละคนคืออะไร
บ่อยครั้งการมองคนจากสิ่งที่เขาเป็นนั้นดูไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราไม่เคยรู้ว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร

นายบีไม่ควรดูถูกนายเอ

นายดีไม่ควรอิจฉานายซี

นางสาวจี หากรู้เบื้องหลังเงินเดือนของนางสาวอีก็ไม่จำเป็นต้องสงสัยต่อไปเช่นกัน

มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันในเรื่องความสำเร็จ ขอเพียงอย่ามองที่ผล มองที่ความสามารถในการพัฒนาตัวเองดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น