วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ชีวิตที่สองของAVATAR

“อวตาร” ศัพท์ที่คนไทยได้ยินจนคุ้นหู หากแต่ผ่านพบเพียงการบรรยายในมุมมองของศาสนา
หารู้ไม่ว่าวันหนึ่งผู้กำกั
บยักษ์แห่งวงการฮอลลีวู้ดจะหยิบมาเป็นชื่อภาพยนตร์แนวที่ชาวบ้านเรียกว่าไซไฟแฟนตาซี




เบื้องหลังฉากเลอเลิศนั้นแฝงปรัชญาน่าคิดหลายประการซึ่งสะท้อนสังคมอันซับซ้อนทว่าฉาบฉวย หากใครเคยได้ยินทฤษฎีว่าด้วยชีวิตที่สองคงมองการเสียดสีของ AVATAR ได้ชัดเจน

ชีวิตที่สอง หรือ Second Life นั้นคือการมีตัวตนอยู่ในอีกโลก ซึ่งโดยทั่วไปคำนี้ใช้กับสังคมออนไลน์ ตั้งแต่เกมออนไลน์ เฟซบุ๊ค ไปจนถึงการติดต่อเป็นระบบเน็ตเวิร์คของฐานทัพอย่างที่ตัวหนังนำเสนอ สิ่งล่อแหลมของชีวิตที่สองเป็นเหมือนที่ Jake บทนำกล่าวซ้ำๆในครึ่งแรกว่า..
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือ
ตื่น อะไรคือหลับ.. อะไรคือเรื่องจริงอะไรคือความฝัน
ทางแยกอยู่ตรงที่ว่า.. คุณจะอยู่อย่างสมดุลระหว่าง
ความจริงกับความฝัน หรือคุณจะเลือกข้างแล้วเกิดใหม่ในอีกดินแดน

ประเด็นสนุกชวนฉุกคิดซึ่งคล้ายๆกับหนังเน้น Computer Graphic เรื่องก่อนหน้าอย่าง Happy Feet และ Finding Nemo คือการแสดงให้เห็นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมซึ่งมนุษย์เราดูจะลืมไปแล้วว่า
เราคือส่ว
นหนึ่งของธรรมชาติ
ลองคิดดูว่าปัจจัยสี่ที่เราอุปโภคบริโภคนั้นมาจากธรรมชาติแท้ๆสักกี่อย่าง ตรงนี้เองที่ทำให้ความผูกพันหายไป เมื่อเส้นใยดังกล่าวบางลง คนจึงรู้สึกว่าอยู่ได้โดยไม่มีธรรมชาติ

เราลืมชีวิตแรกที่อยู่ในท้องแม่ ได้รับความอบอุ่นจากร่างกายของคนที่รักเรา
ได้ลองวิ่งเล่น หกล้ม เจ็บปวด ได้กินอาหารอร่อยมื้อแรก ได้ลองปลูกต้นไม้เองเป็นครั้งแรก
ได้ชมดอกไม้ในสวนสาธารณะ ได้ชกต่อยกับเพื่อน จนเลือดที่ไหลจริงนั้นอาจทำให้เจ็บและกลัว
เราเริ่มเรียนรู้สิ่งที่ทำให้เจ็บ ให้จำ เราถอยจากชีวิตจริงหนึ่งก้าวแล้ววิ่งสู่ชีวิตที่สอง ที่ที่ปมด้อยไม่เป็นปัญหา Jakeเอง หลงรักโลกใบใหม่ก็ด้วยขาที่ยาวและร่างกายอันไร้ขีดจำกัด อิสรภาพอันไร้ขอบเขต บรรทัดฐานทางสังคมที่แตกต่างเปิดมุมมองของเขาให้กว้างกว่าห้องบังคับบัญชา ความรู้สึกที่ “จริง” ยิ่งกว่าสิ่งที่เคยประสบกลับกระตุ้นจิตใต้สำนึกของวัยเยาว์ให้เบ่งบานอีกครั้ง

ผู้ชมภาพยนตร์หลายท่านอาจต้องการโลกใบใหม่เช่นนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะทีมสร้างได้ลงทุนมหาศาลกับ Special Effects จนเหมือนจริงทุกรายละเอียด(แม้ฉากเลิฟซีนจะทำให้ขนลุกมากกว่าเกิดอารมณ์คล้อยตาม)
ดนตรีที่เหมาะสมกับภาพ
นักแสดงชั้นเยี่ยม ตลอดจนการวางโครงเรื่องที่อาจกล่าวได้ว่าลงตัวทุกกระเบียด แม้ในมุมมองของฉันเห็นว่าตั้งใจให้ลงตัวเกินไปจนคาดเดาได้ แม้ตื่นเต้นแต่ก็เห็นไส้ ถ้าไร้ฉากแอคชั่นกับภาพสีสวยหนังเรื่องนี้คงจืดชืดลงมา
ถึงบทภาพยนตร์จะมีคำคมน่าคิดบ้าง ก็ไม่ได้มีบทบาทมากเท่าฉาก เพราะตัวหนังดำเนินเรื่องด้วยภาพเสียมากกว่า

ประเด็นที่ AVATAR สะกิดด่าบรรพบุรุษของตัวเองอย่างชัดเจน(แม้จะไม่ทันแล้ว)
คือการรุกล้ำวัฒนธรรมพื้นเมืองอินเดียนอเมริกัน ซึ่งช่วงที่คนอังกฤษเข้ายึดครองได้อ้างถึงการมาของตนจากอนาคต อ้างตนเป็นผู้รับประกันความศิวิไลซ์ แล้วโค่นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งประเทศ เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว และยังทำอยู่โดยประเทศพัฒนาแล้ว ทำกับโลกที่สามอย่างที่เห็นในเหมืองแร่โปรแตชบ้านเรา หรือกระทั่งโรงงานน้อยใหญ่ ทั่วอาฟริกา

อันที่จริงคนเราจะมีกี่ชีวิตไม่สำคัญ ..สำคัญที่ว่าเราตระหนักหรือไม่ว่าสิ่งที่เราไม่ยี่หระ ได้กระทบคนเป็นล้าน
หากมีชีวิตเดียวแล้วมีคุณค่าก็ไม่ต้องรอเกิดใหม่ หรือให้ใครเขาไล่ไปเกิดใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น