วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

Customization:อัตตาย้อนศร

คำว่า Custmomization นั้นขึ้นมาผงาดอยู่ในวงการการออกแบบและการค้าตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นช่วงยี่สิบปีมานี้เอง เนื่องจากการกระหน่ำยิงของวงการอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้มนุษย์ใช้สินค้าคล้ายๆกัน หลายอย่างที่อุปโภคบริโภคก็หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ!
มนุษย์ยุคเราสามารถตั้งกระทู้ในพันธุ์ทิพย์เกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องเดียวแล้วมีคนอีกสองแสนเข้ามาลงความเห็นและคุยเรื่องเดียวกันได้รู้เรื่อง เลยเถิดไปถึงใส่อารมณ์ด่าพ่อล่อแม่กัน... ก็ไม่แปลกในยุคนี้ แต่หากมองในมุมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ห้าคงเป็นเรื่องผิดวิสัยไม่น้อย

ย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม คำว่า Custom Made หรือสั่งทำเฉพาะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีโรงงานที่สั่งเสื้อทีละร้อยตัวแล้วได้วันนี้ ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ที่เร่งได้ถึงห้าร้อยคันต่อวันอย่างในปัจจุบัน เสื้อหนึ่งตัวต้องเข้าร้านไปวัดและตัด โต๊ะเครื่องแป้งต้องสั่งทำ
ในประวัติศาสตร์ไทยเองก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ เช่น เรื่องราวของถ้วยชามสังคโลกที่มีลายชัดเจนแต่ไม่เหมือนกันสักชิ้น ถ้วยเบญจรงค์ที่สามารถสั่งช่างให้วาดตามต้องการได้ ข้ามไปถึงฝั่งยุโรปที่มีการสั่งทำตู้ ทำเครื่องประดับโดยเฉพาะ เหล่านี้ล้วนจัดเป็น Customization หรือที่เราๆท่านๆเข้าใจกันในปัจจุบันว่าคือการทำสินค้าพิเศษเป็นรายๆไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนใคร

ท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเกิดจากการที่ความต้องการน้อยกว่ากำลังผลิต ปัจจุบันนี้เราผลิตได้เกินความต้องการ ส่งผลให้เกิดลัทธิบริโภคนิยมจนจำเป็นต้องมีวงการโฆษณาที่ฉันทำงานอยู่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มุมน่าคิดคือมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองนั้นกลับไปสู่สิ่งที่คนยุคร้อยกว่าปีที่แล้วไม่มี!

นั่นคือการใช้สินค้าซ้ำๆกันค่อนโลก

เพื่อย้อนศรกลับไปสู่ที่เดิมที่เราเคยยืน การนำอัตลักษณ์คืนมาย่อมเป็นเรื่องขาดไม่ได้ และเพื่อทำให้วงจรการค้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกจึงมีคำโฆษณาโปรยไว้เกร่อว่า “สู่ความเป็นตัวคุณ” หรือ “Be yourself” ก้าวสู่การผลักดันให้ฝูงชนบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ด้วยตัวเองซึ่งอีกนัยหนึ่งอาจเป็นการซื้อสินค้าที่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ! อาทิ โต๊ะพับได้ของ IKEA ซึ่งต้องนำมาต่อเองและทาสีเอง มีป้ายข้างกล่องว่า
“Be yourself, be creative”
เออ … แล้วกูจะซื้อไปทำไม?






การดื่มโค้ก ดื่มเป๊ปซี่ซึ่งเน้นความเป็นอิสระ เต็มที่กับชีวิต สดชื่นแก้กระหายหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคฉลาดขึ้น ตรงข้ามการเสพย์แบรนด์ตามความเคยชินอาจทำให้ท่านไม่เต็มที่กับชีวิตเพราะเป็นเบาหวานหรือโรคกระเพาะ และแน่นอนว่า Coke เองก็เป็นเครื่องดื่มแรกที่มี Limited Edition เพื่อให้ผู้สะสมรู้สึกพิเศษ!

Brand ดังทั้งหลาย เช่น Louis Vuitton, Gucci ฯลฯ นอกจากมีสินค้าตอแหลออกมาจำหน่ายในราคาไม่ย่อมเยาหนำซ้ำยังมีคนนำไปก็อปจนเกร่อแล้ว ยังมีการนำ Limited Edition ออกมาเสนอไปอย่างนั้น บางรุ่นก็นำเสนอว่า สามารถสั่งสลักชื่อบนตัวกระเป๋าได้ Customise ได้!
นี่เองคือการย้อนศรสู่สิ่งที่เป็นสามัญเมื่อร้อยปีที่แล้ว เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่ในอีกมุมมอง
สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยคือการหาพื้นที่ยืนในสังคม แม้คนสมัยก่อนจะไม่ติดยี่ห้อหราเหมือนยุคเราแต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Brand ไม่มีตัวตน แบรนด์ของคนสมัยก่อนอาจเป็นเสื้อร้านชาแนลซึ่งยังไม่ติดยี่ห้อ หรือกระเป๋าหวายจากถนนเฉลิมกรุง ซึ่งของส่วนใหญ่นั้นสั่งทำพิเศษอยู่แล้วจึงไม่ต้องสร้างคำว่า Customization ขึ้นเพื่อโฆษณา การสร้างอัตลักษณ์ของคนสมัยก่อนอาจอยู่ที่การมีรถขับเพราะคนอื่นใช้สามล้อถีบ หรือเพียงแค่การมีวิทยุฟังในบ้านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

สังคมยุคปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ยึดติดยี่ห้อ คนเหล่านี้รวมถึงฉันเองก็มักจะชื่นชอบ Muji แบรนด์ญี่ปุ่นที่นำความไม่เป็นแบรนด์มาเป็นแบรนด์ได้! หรือพูดจาประสาพุทธคือการนำอนัตตามาเป็นอัตตา ซึ่งก็เป็นการย้อนศรอีกตลบและก็ตบมาเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการอีกนั่นแหละ!

คนเราจะซื้อ จะใช้ จะบริโภคอะไรอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีอัตตาคือบริโภคเพื่อตนเองอยู่อย่างไม่สิ้นสุด และแน่นอนว่าในอนาคตจะเห็นการย้อนศรของคำใหม่ๆอีกนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่คำว่า Customization!

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

Japanese Design Today: ความยากของงานยุ่น

คุณรู้จักความเป็นญี่ปุ่นมากแค่ไหน? งานออกแบบพันธุ์ยุ่นเป็นอย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!

ฉันมีเพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นอยู่หลายคน ซึ่งรักกันมาก เห็นหน้ากันทุกวัน สัมผัสลูบไล้กันทุกวัน...
เพื่อนกลุ่มนี้มีชื่อว่า "Casio" ซึ่งฉันมีเก็บไว้ประมาณ 5 เรือนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนตอนนี้อายุปาเข้าไป 24 ปีแล้ว
มีนาฬิกาแบบไหนก็ไม่เร้าใจเท่าแบบดิจิตอลเพราะประโยชน์ใช้สอยมาก นี่ยังไม่รวมถึงความอึด กันแดด กันฝน กันลม กันไฟ กันกระแทก รับประกันสามปี... อะไรจะขนาดนั้น!

ฉันเชื่อว่าคนทั่วโลกได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นผ่านผลิตภัณฑ์มากกว่าผ่าน "คนญี่ปุ่น" จริงๆเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นรถ เครื่องเขียน นาฬิกา หรือแม้กระทั่งขวดชอสคิกโคเเม็น! เราได้ลูบไล้ ครอบครอง มองหา และนำมาใช้เป็นอันดับหนึ่ง ประเทศเราเสียดุลให้เจ้ายุ่นมากที่สุด อ๊ะ! แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรานำเจ้ายุ่นมานั่งจับเข่าคุยกันได้อย่างไร

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม ณ หอศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ๆเจ้ายุ่นขนขบวนกันมาถึงหนึ่งร้อยตัวถ้วน!
งานนี้เรียกกันเก๋ๆว่า Japanese Design Today หรือ งานออกแบบญี่ปุ่นของวันนี้

เจ้าขวดซอสคิกโคเเม็นในตำนานกำลังยืนนิ่งอยู่ในตู้... เพื่อนๆของมันอันได้แก่เฟอร์นิเจอร์ รถมอเตอร์ไซค์ ยางลบ โทรศัพท์มือถือ ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายทว่ามีรายละเอียด ทุกตัวยืนอย่างถ่อมตัวอยู่หลังหมายเลขอันไร้ซึ่งคำบรรยาย อยากรู้ต้องอ่านคู่มือเอาเองตามแบบฉบับพี่ยุ่นซึ่งเป็นนักอ่านตัวยง

ฉันตรงไปคุยกับนายคิโคแม็นก่อนเพราะได้ข่าวว่าตั้งแต่เปิดตัวสินค้ามากว่าสี่สิบปี ทางผู้ผลิตไม่เคยเปลี่ยนขวดเลย



ฉัน : นายคิดว่านายพิเศษยังไงถึงอยู่ได้นาน ฮึ!

คิกโคแม็น : คมบังหวะ! วะตะฉิหวะ คิโคแม็นเด็ส (สวัสดีครับผมคือนายคิกโคแม็น) ผมใช้ง่าย เทง่าย หกยาก ตกไม่แตก แถมยังต้นทุนการผลิตต่ำอีกด้วย ว่าแล้วนายคิกโคแม็นก็ผล็อยหลับ ปล่อยให้เราตีความคำพูดเอง

ฉันผงะ.. ไม่รู้จะโต้ตอบยังไง ข้อดีของนายคิกโคแม็นนั้นครบจริงๆด้วย หากถามถึงเรื่องกราฟฟิกก็ไม่ต้องเปลี่ยนให้ยุ่งยากเพราะผู้บริโภคทั่วโลกก็ติดแบรนด์ไปแล้ว ยี่ห้ออื่นๆต่างหากกลับลอกเลียนสีสันและฉลากของยี่ห้อนี้

ผ่านมาที่น้องหนูยางลบ(กอมเม่จัง)ซึ่งหน้าตาเหมือนตัวต่อ สามารถนำมาเล่น มาดัดแปลงได้จนเป็นรูปทรงตามต้องการ ตัวนี้หาได้ยากจากท้องตลาดเพราะเป็นรุ่นคลาสสิก ฉันและเนเน่จัง(พี่สาว)ชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยอยู่บ้านเดียวกันเคยแย่งยางลบรุ่นนี้ เคยเอามาต่อเล่นกันแม้ว่าอายุอานามจะเลยยี่สิบไปหลายปี

ฉัน: นี่เธอ! ทำไมเค้าถึงไม่ค่อยผลิตเธอออกมาขายแล้วล่ะ

กอมเม่จัง: เพราะหนูคลาสสิก หนูน่ารัก น่าเล่น แถมยังมีประโยชน์ใช้สอยด้วย!

ว่าแล้วหล่อนก็ทำหน้างอนและผิวปากแบบไม่ยี่หระ.. ฉันเองอยากเปลี่ยนมุมจึงเดินไปอีกฝั่งของงานแล้วยืนคุยกับหนุ่มรูปหล่อจากอนาคต นายคนนี้เป็นมอเตอร์ไซค์แบบเสียบปลั๊ก!




ฉัน: โมะโตะคุงไม่ต้องง้อน้ำมันเลยเหรอ

โมะโตะคุง: ไม่ต้องหรอก ผมมีปลั๊ก!

ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันหน้าแล้วทำปากใบ้ไปที่ก้นเพื่อให้เห็นว่ามีปลั๊กไฟและที่เก็บอย่างเรียบร้อย

ฉัน: อย่างงี้โมะโตะคุงกินไฟเยอะแน่เลยสิ

โมะโตะคุง: นักออกแบบกำลังปรับปรุงผมอยู่ครับ! อีกสักสามปีหรือห้าปีคงนำออกมาขายได้รอกันหน่อยนะครับ

ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันไปโพสท่าให้ชาวประชาถ่ายรูป.. คนดังก็อย่างนี้แหละ!

งานยุ่นที่ดูเรียบง่าย อธิบายแล้วเข้าใจนั้นแท้จริงมีความยากซ่อนอยู่ เริ่มจากการคิดคอนเส็ปท์
สังเกตได้ว่าตัวละครทั้งสามที่ฉันเข้าไปคุยด้วยนั้นบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะนั่นขึ้นอยู่กับเจตนาและประโยชน์ใช้สอย ลุงคิกโคแม็นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับรองสินค้าที่มีอยู่แล้วจึงต้องมีปัจจัยด้านฟังก์ชั่นและความเรียบง่ายเป็นหลักสำคัญ

น้องกอมเม่นั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาแต่นักออกแบบได้ใส่ความเป็น "ญี่ปุ่น" เข้าไปเต็มกระแสเลือด
เธอมีความขี้เล่น และเรียบง่ายในตัวเดียว เธอกระตุ้นให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก เธอมีหลากหลายสีให้สะสม

ท้ายสุดคือโมะโตะคุง เป็นชายหนุ่มจากอนาคตที่มีวิญญาณญี่ปุ่นเต็มร้อย เขามาเพื่อกู้โลกจากวิกฤตน้ำมันและวิกฤตคมนาคม

ผลิตภัณฑ์ทั้งสามชิ้น สามแบบ สามเจตนารมณ์ นั้นมีที่มาเดียวกันคือมาจากความยากลำบาก
ความยากของงานยุ่นอยู่ที่วิธีการคิด งานยิ่งเรียบก็ยิ่งยาก ยิ่งล้ำยุคก็ยิ่งต้องใช้ทุนสูง ยิ่งต้องใช้บุคลากรที่ประสิทธิภาพระดับโลกไม่ใช่รู้แค่งูๆปลาๆ ต้องรู้ครบ รู้รอบและมีทัศนคติที่เปิดกว้าง

งานออกแบบของญี่ปุ่นนั้นมีความน่ารักที่คนทั่วโลกยอมรับ นั่นคือ เรียบง่าย ขี้เล่น และล้ำยุค

สามสิ่งนี้เองที่ทำให้งานยุ่นกลายเป็นเงินและเป็นวิวัฒนาการที่วงการออกแบบไทยควรเอาเยี่ยงอย่างเชิงวิธีการ ไม่ใช่การลอกอย่างที่บริษัทส่วนใหญ่ทำกัน!

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

BlackBerry:บริโภคแบบโลกที่สาม!


คำว่า "In trend" (อิน-เทร็น)และ "Design"(ดี-ซาย) ปัจจุบันถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ จนเป็นคำที่ได้ยินกันเกร่อ
สื่อใช้สองคำนีัในการกระตุ้นผู้บริโภคหลายกลุ่มชนแต่กลุ่มคนที่จับจ่ายใช้สอยและสนใจคำสองคำนี้แท้จริงมีอยู่กลุ่มเดียว

นั่นคือ "กลุ่มคนที่กลัวตกยุค" ซึ่งไม่ได้มีแค่ในเมืองใหญ่หากแต่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกและหากคุณเป็นคนที่กลัวตกเทรนด์ ก็เตรียมกระเป๋าบานได้เลยเพราะเทรนด์นั้นเปลี่ยนตลอดเวลาขณะที่คำว่าดีไซน์คงอยู่ไปตลอด

หนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงแซงโค้งแม้หลายคนหาทราบไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ออกสู่สายตาโลกตั้งแต่ปี 2002 คือ Blackberry หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆว่า BB

ปัจจุบันราคาเจ้า BB รุ่นถูกที่สุดอยู่ที่ 15,000 โดยประมาณ ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนขั้นต่ำวุฒิปริญญาตรี
น่าแปลกที่ประชากรของโลกที่สามอย่างเราๆยินดีผ่อนเจ้า BB นี้เดือนละแพงๆ โดยเราซื้อเจ้าของที่คิดว่าสำคัญในราคาพอๆกันหรือสูงกว่าฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเสียอีก

เจ้า BB นั้นติดโผ 1 ใน 100 แบรนด์ท็อปของเกาะอังกฤษในปี 2004-2005 โดยการนำเข้าของระบบ 3 mobile ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Hutchที่เคยมาโฉบกรายในบ้านเรา สนนราคาอยู่ที่ 200 ปอนด์ หรือ 1 ใน 5 ของเงินเดือนขั้นต่ำวุฒิปริญญาตรี (1,000 ปอนด์)นั่นแปลว่าลอนดอนเนอร์ทั่วไป ใครๆก็ซื้อ BB ได้ ไม่ต้องผ่อน ไม่ต้องรำคาญใจ!
ซื้อแล้วก็ไม่ต้องอวด ไม่ต้องเห่อ ไม่ต้องตั้งสมาคม BB เพื่อจะบอกว่า เออ!กูรวย

ในฐานะคนวิเคราะห์แบรนด์ เห็นว่าสิ่งที่บริษัทใหญ่ๆง้างกระเป๋าคนไทยเราได้สบายนั่นคือการเอาภาพลักษณ์มาใส่ในสมองของเราๆท่านๆ ผ่านการโฆษณาและยัดความเชื่อว่าอะไรบ้างที่เก่า อะไรบ้างที่ใหม่
อะไรน่าซื้อ อะไรไม่น่าซื้อ ความน่าซื้อนั้นหากอยู่ที่ประโยชน์ใช้สอยและราคาที่ไม่เกิน 1 ใน 5 ของเงินเดือน(หรือค่าขนม)ก็ซื้อไปเถิด อย่างไรโทรศัพท์อ้วนๆเครื่องนี้ก็มีประโยชน์มหาศาล เล่นอินเตอร์เน็ต ออนไลน์ พบเพื่อน ถ่ายภาพ อะไรก็ว่ากันไป

ตราบใดที่เงินแค่ 15,000 เป็นแค่เศษเงิน และเงินเดือน/ค่าขนมของท่านเกิน 75,000 บาท ต่อเดือนก็เชิญตามสบาย

แต่การผ่อนแล้วผ่อนอีก ผ่อนแล้วต้องกระเบียดกระเสียนของท่านทำให้ดิฉันกระเหี้ยนกระหือถามกลับว่า
ทำไมไม่ใช้อย่างอื่นแทน? และหากท่านทราบว่า BB ในประเทศที่เจริญแล้วมีค่าแค่ 1 ใน 5 ของเงินเดือนเด็กปริญญาตรีบ้านๆคนนึง ท่านคงเลิกเห่อกระมัง?

กรณีเปรียบเทียบ: เงินขั้นต่ำปริญญาตรีบ้านเรา 10,000 บาท ดังนั้น 1 ใน 5 = 2,000 บาท
เงิน 2,000 บาทสามารถซื้อโทรศัพท์มือถือธรรมดาๆได้ 1 เครื่องใช้งานได้จริง ก็ไม่เป็นภาระอะไร

ฟังก์ชั่นของเจ้าโทรศัพท์อ้วนอาจมีมากมาย อาจช่วยคลายเหงาได้ยามรถติดแต่มีอย่างอื่นที่ราคาถูกกว่านี้ไหมที่จะช่วยได้? อาจเป็น MP3 เครื่องเล็กๆราคาไม่ถึงพัน หรือหนังสือเล่มโปรด หรือแม้กระทั่งการนั่งบวกเลขบนตั๋วรถเมล์แก้เซ็ง การวาดรูปเล่นหรือมองคนที่ผ่านไปมาตามท้องถนน

คนที่ซื้อ และชอบ และติดโทรศัพท์อ้วนอาจหาเหตุผลโต้แย้งแทนนักออกแบบได้เป็นร้อยพันและแน่นอนหนึ่งในเหตุผลที่นักบริโภคนิยมใช้คือคำว่า "ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"

ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์และหลักสังคมศาสตร์นั้นไม่จริงแม้เสี้ยวเดียว เพราะสิ่งที่ท่านบริโภคย่อมมีผลต่อคนหมู่มากแน่นอน

เช่น 1. โรงงานผลิตชิ้นส่วน Blackberry ในเมืองจีนและที่อื่นๆต้องเพิ่มกำลังผลิตทำให้โลกร้อนขึ้นอีกนิด
2. แน่นอนว่าประเทศไทยขาดดุลมากขึ้น ถ้าไม่ซื้อเจ้ามือถืออ้วนเราอาจจะใช้เครื่องปัจจุบัน
หรืองัดเครื่องเก่ากว่านี้มาใช้
3. โรคสมาธิสั้น! ลำพังติดคอมพิวเตอร์ ติดเกม ติดอินเตอร์เน็ตนั้นสร้างโรคสมาธิสั้นมากพออยู่แล้ว
การมีโลกอีกหนึ่งใบไว้ให้กดอาจทำให้โรคนี้อาการทรุดลงอีก ถ้ามนุษย์ 1 คนเสียสมาธิและประสิทธิภาพใน การดำเนินชีวิต คิดหรือว่าจะไม่กระทบสิ่งใดเลยในองค์รวม

แล้วทำไม Designer ใจร้ายถึงได้ออกเทคโนโลยีใหม่ขึ้นเรื่อยๆมาล่อน้ำลายเรา?
เพราะเขารู้แน่นอนว่าเราจะซื้อ กล่าวคือ รู้สันดานการบริโภคแบบโลกที่สาม!

การบริโภคแบบโลกที่สามไม่มีอะไรต้องอธิบายยาว คือการคิดในระยะสั้น ซื้อเกินกำลัง การหาข้ออ้างให้ได้ซื้อ
และลืมไปว่าคนอีกค่อนประเทศลำบากกว่าเรา หรืออาจชื่นชอบที่คนอีกค่อนประเทศให้ตายก็ไม่มีปัญญาซื้อใช้

ผู้บริโภคแบบโลกที่สามเสพย์ติดความเป็นอภิสิทธิ์ชนและความโก้หรู บ้าวัตถุขณะที่ไม่เข้าใจศาสตร์แห่งการออกแบบวัตถุ

กวีอังกฤษนาม William Blake เคยกล่าวไว้ว่า "เรามักคลั่งไคล้สิ่งที่เราไม่เข้าใจ"
ซึ่งดิฉันเห็นด้วยและคิดว่าประเทศชาติคงเจริญกว่านี้หากผู้คนเข้าใจศาสตร์และศิลป์ของสินค้า ก่อนที่จะบ้าซื้อจนต่างชาติรู้กันทั่วว่าเอาอะไรมาวางเมืองไทย จะแพงแค่ไหนก็ขายดี ก่อนที่จะนำเงินเท่าเงินเดือนไปแลกกับชิ้นส่วนไทเทเนียมที่สักวันจะกลายเป็นเศษเหล็ก!

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

สีเทา..และเงาของความดี?

ดร.เสรี วงมณฑา เคยกล่าวไว้ในการบรรยายทางทีวีแห่งหนึ่ง นานมากแล้วสมัยที่ฉันยังเด็กๆ มีนักเรียนม.ต้นคนหนึ่งถามท่านว่า “เราจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรคือความดี”
ท่านตอบสั้นๆง่ายๆว่า “ถ้าทำอะไรแล้วบอกโลกได้โดยไม่อาย นั่นแหละความดี”
ตอนเด็กๆฉันยังคลางแคลงแต่ก็ไม่ได้ถึงกับตั้งใจหาข้อมูลอย่างเป็นจริงเป็นจัง



ตอนนี้คำตอบนั้นขัดความรู้สึกฉันเสียเหลือเกิน ด้วยว่าความชั่วความดีนั้นบ่อยครั้งวัดโดยบรรทัดฐานของสังคมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว อาจมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ชาวโลกยอมรับว่าเลวจริง เข้าถึงได้อย่างเสมอภาคแม้ข้ามเส้นวัฒนธรรม เช่น เรื่องแย่งคู่ครอง เรื่องโกงเงิน ชกต่อย วางแผนลอบกัด ฯลฯ
ฉันเข้าใจว่าดร.เสรี อาจให้คำตอบที่เหมาะกับวุฒิภาวะของผู้ถาม
แต่คำตอบก็เป็นเพียงคำตอบ ไม่ใช่ทฤษฎี

เรื่องความชั่วความเลวนั้นวัดได้ยาก ยากกว่าการวัดกับเส้นความสำเร็จ คำพูดหนึ่งที่ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งซึ่งได้จากหลวงแม่(ภิกษุณีธัมมนันทา)ในการไปบวชชีพราหมณ์
ท่านตอบว่า “ คนที่อยู่บ้านเฉยๆโดยไม่มีโอกาสทำความชั่วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี.... คนดีคือคนที่มีโอกาสทำชั่วแล้วเลือกที่จะไม่ทำ”

ฉันไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ได้บอกว่าใครเป็น แต่ความชั่วนั้นมี และคนชั่วก็ย่อมมีด้วย แม้พักหลังๆสื่อหลายแขนงจะพยายามบอกว่าคนชั่วไม่มีจริง ทุกสิ่งเป็นสีเทาก็ตาม
ความชั่วมีสาเหตุก็จริง แต่คนชั่วเลือกที่จะใช้สาเหตุนั้นมาทำชั่ว ขณะที่คนดีเลือกนำต้นตอนั้นมาทำดี นี่แหละที่แตกต่าง!

คนทุกคนเติบโตขึ้นมาแม้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราต่างเคยถูกทำร้าย ถ้าเรายอมให้ความเจ็บเป็นพลังสู่การทำร้ายผู้อื่น เรายอมแพ้ต่อความชั่ว... สักวันเราจะกลายเป็นคนชั่วและเมื่อทุกคนคิดเช่นนี้ วงจรแห่งความชั่วจะอุบัติขึ้น
หลายปัญหาก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ เราอดทน เข้มแข็งแค่ไหนที่จะทำให้วงจรความชั่วมาหยุดที่เรา แล้วเปลี่ยนศรไปทำตรงข้าม?

กลับกัน... เมื่อเราโดนทำร้ายแล้วกลับใช้ความเจ็บและรอยจำเป็นเส้นทางสู่การส่งต่อความดี เพื่อปกป้อง รักและเผื่อแผ่แก่คนอื่น..วงจรแห่งความดีจะบังเกิดเช่นกัน

ความดีความชั่วยังมีตัวตน มีผล และทำได้ทุกที่ทุกเวลา ขอให้ปีใหม่นี้ทุกคนมีแรงต่อสู้กับความชั่วนะคะ:)

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

มาหาไร?


สถาบันเป็นประเด็นเปราะบาง หลายคนอาจภาคภูมิใจ หลายคนไม่ หลายคนพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อ ซึ่งคุณภาพ .. แต่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าก่อนและหลังจะต่างกันอย่างไร

ชีวิตฉันอาจเป็นตัวอย่างการตายที่น่าศึกษาก็ได้ … ใครจะไปรู้!

ฉันก้าวเข้าเซนต์มาร์ตินด้วยความกระหายใคร่รู้ เซนต์มาร์ตินคือสถาบันในฝันของใครหลายคน ชื่อสถาบันนั้นถูกประทับอยู่ในวงการแฟชั่นและวงการศิลปะทั่วโลก นักศึกษาหลายร้อยคนถูกคัดกรองเข้ามาอัดอยู่ในห้องเรียนแคบๆกับครูซึ่งออกตัวว่าตนเองไม่ใช่ครู แต่เป็นติวเตอร์
“ติวเตอร์กับครู ต่างกันมาก ครูจะสอนและใช้วิธีป้อนความรู้ แต่ติวเตอร์จะนำทางเราไปคร่าวๆ เราไม่ต้องตามก็ได้” ติวเตอร์หญิงเจ้าของร้านจิวเลอรี่มีชื่อกล่าว

เออสิ! แล้วกูจะเรียนยังไง? ฉันคิดกลับไปกลับมา ก็ด้วยระบบการศึกษาที่คุ้นชินในบ้านเรา
สอนศิลปะด้วยทักษะเป็นหลัก ไม่เน้นวิธีการคิดอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้วทำกัน

สำหรับหลายคน การเรียนแบบนี้อาจเป็นเรื่องง่ายๆ อาจด้วยความเคยชินทางสภาพแวดล้อม ภาษาและวัฒนธรรมทำให้กลมกลืนได้ง่าย แต่สำหรับนักเรียนที่กระโดดมาจากโรงเรียนมัธยมไทยที่ได้ชื่อว่า “หัวโบราณ” ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนั้นเป็นเรื่องยากถึงสามมิติ
มิติแรกคือภาษา มิติที่สองคือวิชาที่เรียน มิติที่สามคือวัฒนธรรมความเป็นอยู่

หนึ่งปีแรกฉันจึงรู้สึกว่าร่างกายและตัวตนเริ่มเปื่อยยุ่ย แต่ก็ทนๆเอา ไม่รู้หรอกว่าความเจ็บ ความปวด ความเปื่อยยุ่ยนั้นจะนำมาซึ่งอะไร หลายครั้งที่อยากกลับบ้านแล้วหันทิศไปเรียนอะไรง่ายๆ คิดติดตลกว่าเอาเงินค่าเทอมไปซื้อ BMW ไปขับเล่นในทองหล่อแล้วสมัครเรียนอะไรง่ายๆแถวนั้นเสียจะดีไหม
แน่นอน ท่านผู้อ่านคงทราบดีว่าฉันไม่ได้ทำตามแรงโน้มถ่วงนั้นแล้วกลับพยายามเปลี่ยนตัวเองให้ได้ครบทั้งสามมิติ ซึ่งเป็นงานหนักแทบรากเลือด

“สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมชาติ”
ตั้งแต่อนุบาลจนถึงจบมัธยมก็ยังไม่เคยซาบซึ้งกับประโยคนี้เสียที จนกระทั่งเรียนแบบรุ่ยๆ มีวิชาให้ตกได้ทุกปี ที่โรงเรียนบ้าๆนี้ไม่ได้มีวิชาให้เข้าเรียน ไม่มีวิชาให้เลือกลง มีหน่วยกิตแต่ไม่ได้นับตามอย่างชาวบ้านเขา การสอบตกแค่เขียนแบบอย่างเดียวนั้นแปลว่าตกทั้งโปรเจค ตลอดปีมีงานสามถึงสี่โปรเจค ถ้าตกโปรเจคเดียวเท่ากับตกทั้งปี นั่นแปลว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวอย่างการวาดรูปขวดหนึ่งใบ หรือกล้องถ่ายภาพหนึ่งชิ้น มีความหมายถึงการซ้ำชั้น

ต้นเทอมนักศึกษาจะได้ตารางแจกแจงว่าสัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง ติวเตอร์จะมายืนชี้แจงให้ฟัง พร้อมสั่งงาน นักศึกษาถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มต้องส่งงานวันอังคาร บางกลุ่มต้องส่งวันพฤหัส ถึงเวลาส่งงานเราต้องไปนั่งรวมกับเพื่อนในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรม ผู้เลือกหัวข้อโปรเจคเดียวกับเราประมาณสิบคน แต่ละคนต้องออกมานำเสนองานของตัวเอง บังคับว่าอย่างน้อยต้องมีสามไอเดีย หรือ สามคอนเส็ปต์ แต่ละชิ้นต้องมีที่มาที่ไปว่าคิดอย่างไร มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เจาะรายละเอียดไปถึงเหตุผล และจะใช้ในสังคมไหน วัฒนธรรมใด เมื่อไร ฯลฯ เมื่อนำเสนอเสร็จติวเตอร์และเพื่อนๆในกลุ่มจะรุมวิพากย์วิจารณ์งานเรา ชอบไม่ชอบว่ากันตรงนั้น มีอะไรแนะนำก็บอกได้เช่นกัน
บ่อยครั้งติวเตอร์จะมีถึงสามหรือสี่ท่าน แต่ละท่านเชี่ยวชาญกันคนละทาง
ความเห็นของติวเตอร์อาจไม่ตรงกับเรา เถียงได้เถียงไป ได้คะแนนเท่าไรอีกเรื่อง
แต่ต้องมีเหตุผลโต้แย้งเพียงพอ หลายคนทำโปรเจ็คโดยมีแนวคิดที่น่าสนใจแต่หาเหตุผลในการสร้างงานไม่ได้ก็เป็นอันสอบตก อย่างที่เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนโดนประเมินมาแล้ว

ถ้าเป็นคนหน้าไม่หนา หรือถ้าคิดตื้นๆแน่นอนว่าอยู่ไม่รอด
ถ้ารอดก็อาจจะร่อแร่หรือผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด...

ผ่านปีแรกและปีที่สองในรั้วโรงเรียนที่ผิดกับความคุ้นชิน ตัวตนของฉันหลุดร่อนไปเรื่อยๆ
สุดท้ายลมหายใจของตัวตนเก่าที่โง่เขลา โลกทัศน์แคบ และเต็มไปด้วยความคิดอย่างไม่เป็นระบบก็แผ่วเบาและตายลงไป

แน่นอนว่าหลังเรียนจบ ชีวิตคนเราย่อมเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีใครได้สาระอะไรแน่นอนจากรั้วโรงเรียนศิลปะบ้าบอๆแห่งนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้อะไร …....

ที่แน่ๆ การเรียนจบแล้วมีชีวิตเป็นของตัวเอง ได้ลองเปลี่ยนตัวเองในทุกมิติ เป็นเรื่องตื่นเต้นที่ทำให้ฉันได้ทิ้งซากเดิมๆและปล่อยวิญญาณให้หลุดออกจากร่างอย่างเป็นอิสระ!