วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

มาหาไร?


สถาบันเป็นประเด็นเปราะบาง หลายคนอาจภาคภูมิใจ หลายคนไม่ หลายคนพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อ ซึ่งคุณภาพ .. แต่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าก่อนและหลังจะต่างกันอย่างไร

ชีวิตฉันอาจเป็นตัวอย่างการตายที่น่าศึกษาก็ได้ … ใครจะไปรู้!

ฉันก้าวเข้าเซนต์มาร์ตินด้วยความกระหายใคร่รู้ เซนต์มาร์ตินคือสถาบันในฝันของใครหลายคน ชื่อสถาบันนั้นถูกประทับอยู่ในวงการแฟชั่นและวงการศิลปะทั่วโลก นักศึกษาหลายร้อยคนถูกคัดกรองเข้ามาอัดอยู่ในห้องเรียนแคบๆกับครูซึ่งออกตัวว่าตนเองไม่ใช่ครู แต่เป็นติวเตอร์
“ติวเตอร์กับครู ต่างกันมาก ครูจะสอนและใช้วิธีป้อนความรู้ แต่ติวเตอร์จะนำทางเราไปคร่าวๆ เราไม่ต้องตามก็ได้” ติวเตอร์หญิงเจ้าของร้านจิวเลอรี่มีชื่อกล่าว

เออสิ! แล้วกูจะเรียนยังไง? ฉันคิดกลับไปกลับมา ก็ด้วยระบบการศึกษาที่คุ้นชินในบ้านเรา
สอนศิลปะด้วยทักษะเป็นหลัก ไม่เน้นวิธีการคิดอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้วทำกัน

สำหรับหลายคน การเรียนแบบนี้อาจเป็นเรื่องง่ายๆ อาจด้วยความเคยชินทางสภาพแวดล้อม ภาษาและวัฒนธรรมทำให้กลมกลืนได้ง่าย แต่สำหรับนักเรียนที่กระโดดมาจากโรงเรียนมัธยมไทยที่ได้ชื่อว่า “หัวโบราณ” ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนั้นเป็นเรื่องยากถึงสามมิติ
มิติแรกคือภาษา มิติที่สองคือวิชาที่เรียน มิติที่สามคือวัฒนธรรมความเป็นอยู่

หนึ่งปีแรกฉันจึงรู้สึกว่าร่างกายและตัวตนเริ่มเปื่อยยุ่ย แต่ก็ทนๆเอา ไม่รู้หรอกว่าความเจ็บ ความปวด ความเปื่อยยุ่ยนั้นจะนำมาซึ่งอะไร หลายครั้งที่อยากกลับบ้านแล้วหันทิศไปเรียนอะไรง่ายๆ คิดติดตลกว่าเอาเงินค่าเทอมไปซื้อ BMW ไปขับเล่นในทองหล่อแล้วสมัครเรียนอะไรง่ายๆแถวนั้นเสียจะดีไหม
แน่นอน ท่านผู้อ่านคงทราบดีว่าฉันไม่ได้ทำตามแรงโน้มถ่วงนั้นแล้วกลับพยายามเปลี่ยนตัวเองให้ได้ครบทั้งสามมิติ ซึ่งเป็นงานหนักแทบรากเลือด

“สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมชาติ”
ตั้งแต่อนุบาลจนถึงจบมัธยมก็ยังไม่เคยซาบซึ้งกับประโยคนี้เสียที จนกระทั่งเรียนแบบรุ่ยๆ มีวิชาให้ตกได้ทุกปี ที่โรงเรียนบ้าๆนี้ไม่ได้มีวิชาให้เข้าเรียน ไม่มีวิชาให้เลือกลง มีหน่วยกิตแต่ไม่ได้นับตามอย่างชาวบ้านเขา การสอบตกแค่เขียนแบบอย่างเดียวนั้นแปลว่าตกทั้งโปรเจค ตลอดปีมีงานสามถึงสี่โปรเจค ถ้าตกโปรเจคเดียวเท่ากับตกทั้งปี นั่นแปลว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวอย่างการวาดรูปขวดหนึ่งใบ หรือกล้องถ่ายภาพหนึ่งชิ้น มีความหมายถึงการซ้ำชั้น

ต้นเทอมนักศึกษาจะได้ตารางแจกแจงว่าสัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง ติวเตอร์จะมายืนชี้แจงให้ฟัง พร้อมสั่งงาน นักศึกษาถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มต้องส่งงานวันอังคาร บางกลุ่มต้องส่งวันพฤหัส ถึงเวลาส่งงานเราต้องไปนั่งรวมกับเพื่อนในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรม ผู้เลือกหัวข้อโปรเจคเดียวกับเราประมาณสิบคน แต่ละคนต้องออกมานำเสนองานของตัวเอง บังคับว่าอย่างน้อยต้องมีสามไอเดีย หรือ สามคอนเส็ปต์ แต่ละชิ้นต้องมีที่มาที่ไปว่าคิดอย่างไร มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เจาะรายละเอียดไปถึงเหตุผล และจะใช้ในสังคมไหน วัฒนธรรมใด เมื่อไร ฯลฯ เมื่อนำเสนอเสร็จติวเตอร์และเพื่อนๆในกลุ่มจะรุมวิพากย์วิจารณ์งานเรา ชอบไม่ชอบว่ากันตรงนั้น มีอะไรแนะนำก็บอกได้เช่นกัน
บ่อยครั้งติวเตอร์จะมีถึงสามหรือสี่ท่าน แต่ละท่านเชี่ยวชาญกันคนละทาง
ความเห็นของติวเตอร์อาจไม่ตรงกับเรา เถียงได้เถียงไป ได้คะแนนเท่าไรอีกเรื่อง
แต่ต้องมีเหตุผลโต้แย้งเพียงพอ หลายคนทำโปรเจ็คโดยมีแนวคิดที่น่าสนใจแต่หาเหตุผลในการสร้างงานไม่ได้ก็เป็นอันสอบตก อย่างที่เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนโดนประเมินมาแล้ว

ถ้าเป็นคนหน้าไม่หนา หรือถ้าคิดตื้นๆแน่นอนว่าอยู่ไม่รอด
ถ้ารอดก็อาจจะร่อแร่หรือผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด...

ผ่านปีแรกและปีที่สองในรั้วโรงเรียนที่ผิดกับความคุ้นชิน ตัวตนของฉันหลุดร่อนไปเรื่อยๆ
สุดท้ายลมหายใจของตัวตนเก่าที่โง่เขลา โลกทัศน์แคบ และเต็มไปด้วยความคิดอย่างไม่เป็นระบบก็แผ่วเบาและตายลงไป

แน่นอนว่าหลังเรียนจบ ชีวิตคนเราย่อมเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีใครได้สาระอะไรแน่นอนจากรั้วโรงเรียนศิลปะบ้าบอๆแห่งนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้อะไร …....

ที่แน่ๆ การเรียนจบแล้วมีชีวิตเป็นของตัวเอง ได้ลองเปลี่ยนตัวเองในทุกมิติ เป็นเรื่องตื่นเต้นที่ทำให้ฉันได้ทิ้งซากเดิมๆและปล่อยวิญญาณให้หลุดออกจากร่างอย่างเป็นอิสระ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น