ควายอาร์ต หรือ วิจิตรศิลป์นั้นแปลเป็นไทยให้ตรงเป๊ะน่าใช้คำว่า ละเมียดศิลป์ ซึ่งผู้ชมเองก็ต้องละเลียดชม ห้ามยกซดเด็ดขาดมิฉะนั้นจะไม่รู้เรื่อง... วิจิตรศิลป์คือศิลปะที่ปราศจากประโยชน์ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นภาพ2มิติ งาน3มิติ หรือ 4มิติ ....กล่าวคือ มีไว้ดู มีไว้จับ เพื่อจรรโลงใจล้วนๆ หาใช่เพื่อนำมาเป็นสาธารณูปโภคไม่
ในสมัยหลายร้อยศตวรรษที่แล้วจิตรกรมีหน้าที่หลักคือวาดรูปเหมือน หรือปั้นรูปเหมือน เพราะไม่มีกล้องถ่ายภาพ จิตรกรดังหลายท่านวาดภาพ คน สัตว์ สิ่งของ เพื่อความสำราญของตนและสังคม สถานภาพทางสังคมของจิตรกรอาจเทียบได้กับผู้กำกับหนัง หรือ ช่างภาพ ในปัจจุบันซึ่งมีบุคลิกเซอร์ๆ บางครั้งสกปรก หน้าม่อ และหลงตัวเอง บางคนที่มีบรรดาศักดิ์ที่สูงหน่อยก็อาจเรียกได้ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงกันเลยทีเดียว
ความเชื่อที่ว่าควายอาร์ตเป็นของสูงและบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นเกิดขึ้นจากแถบยุโรปและเมืองจีนพร้อมๆกัน ในยุคที่ผู้มีเงินซื้อศิลปะชั้นเลิศจะมีเพียงชนชั้นนำของสังคม ชนชั้นรองๆลงมาก็เสพย์ได้เพียงศิลปะข้างถนน หรือ การแสดงจำอวด แม้เมื่อยุคสมัยดังกล่าวหมดสิ้นลงความคิดแยกแยะประเภทศิลปะตามชนชั้นวรรณะของผู้เสพย์ไม่ได้เลือนหายไปด้วย คำว่า Fine Art จึงขึ้นแท่นเป็น Pure Art หรือ ศิลป์บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครกล้ากังขา
ส่วนศิลปะอีกแขนงที่เดินตามมาจนกลายเป็นไฮโซ ณ ปัจจุบันคือ Fashion ซึ่งก็มาจากในพระราชวังฝรั่งเศสอีกนั่นแหละ!
ด้วยเหตุนี้เองการละคร การดนตรี ผลิตภัณฑ์ หรือ ศิลปะสิ่งพิมพ์กลับกลายเป็นสิ่งฝั่งอนุรักษ์นิยมมองว่าไม่ Fine ไม่ควาย..ไม่ละเมียด เพียงเพราะกำเนิดขึ้นนอกรั้ววัง เราอาจไม่รู้ตัวว่าเราซึบซับวัฒนธรรมทางความคิดดังกล่าวไปแล้วผ่านการปลูกฝังในครอบครัว การเชื่อตามๆกันมา หรือการบอกเล่าของครูสอนวิชาวิจิตรศิลป์ซึ่งย่อมยกหางตัวเองโดยอัตโนมัติ
เคยมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอังกฤษคนหนึ่งตั้งข้อกังขาว่า ... หากเราอยู่ในยุค Post Modern จริง เหตุไฉนความคิดเราจึงยังติดกรอบของมนุษย์ยุควิคตอเรียน... ค่านิยมใดที่ยุคนั้นชื่นชอบหรือสาปส่งเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรื่อยไป นักเขียนคนดังกล่าวเอ่ยถึงแม้ค่านิยมเรื่องโสเภณี ซึ่งได้ค่าตัวสูงลิบและมีการกินยาป้องกันโรคติดต่อ... หล่อนใช้ชีวิตบนหอคอยงาช้างเยี่ยงนางแบบ FHM ในยุคเรา
โรงแรมห้าดาวยังใช้โคมไฟระย้าแบบวิคตอเรียน ม่านแบบวิคตอเรียนยังเป็นทัศนภาษาของความมีระดับ
ชี้แจงดังนี้แล้ว.. เราๆท่านๆอยู่ในยุคไหนกัน... หากยังจัดชนชั้นแม้ประเภทของศิลปะโดยอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเผลอมองงานผ่านกำพืดของมัน ไม่ได้มองชิ้นงานจริงๆ ...
เราอาจมองข้ามสาร โดยการตัดสินด้วยสื่อ วิธีการมองแบบนี้อาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ สุนทรียะ
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือการผลักดันแบบคีช?
เมื่อไม่นานมานี้คนไทยเราคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่าเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy ซึ่งได้รับการผลักดันจากกระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายง่ายๆหากใครคิดตามไม่ออกก็คือการทำสินค้าเชิงสร้างสรรค์ออกมาขาย คำว่าสร้างสรรค์นั้นแตกต่างจากสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ต้องมีอะไรใหม่ ไม่ต้องประดิดประดอยเกินงามหรือใช้เทคโนโลยีสูง อะไรก็ได้ง่ายๆ ทำเองได้ น้อยชิ้นก็ได้ มีกำลังผลิตมากทำได้มากก็ตามสะดวก องค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนี้ก็หนีไม่พ้น TCDC ศูนย์การออกแบบ ตั้งแอบๆอยู่ที่ชั้นหก ณ ห้างเอ็มโพเรี่ยม ติดกับโรงภาพยนตร์ราคาแพงนั่นเอง
Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”
ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย
งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ
การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...
สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน
Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”
ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย
งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ
การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...
สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน
แผ่ว....แผ่ว
วันเวลาผ่านไป
เหลืออะไรในชีวิต
งอกแล้วตาย หายแล้วอยู่...
ลองตรองดู สลดจิต
..............
เดินสวนกัน แล้วลืมไป
ความเยาว์วัย สลายสิ้น
ไม่ทิ้งกลิ่น แห่งเดียงสา
.............
จะร้อนรุ่ม สุมในอก
ลนละเมอ และเพ้อพก
บินอย่างนก แล้วตกอย่างฝุ่น
อณูจุณก็ไม่เหลือ
...............
นาทีนี้ จะนับหนึ่ง
ก้าวให้ถึง จังหวะร้อย
นาทีที่ร้อย.... ใช่ขึ้นร้อยหนึ่ง
เราบอกว่าถึง ...
ชะตาบอกว่าเริ่มใหม่
..........
เริ่มใหม่ ...
ด้วยลมหายใจดุจเดิม
แผ่ว
แผ่ว
แล้วก็
เก้า
แล้วก็
สิบ
เห็นอะไร.. ณ ลิบลิบ
อยู่ระยิบ เส้นชัยหรือ?
เราบอกไม่
ใครบอกใช่...
วิ่งต่ออีกหน่อย
ทะยอยก่อ
ยังไม่พอ...
.....
อวสาน
เหลืออะไรในชีวิต
งอกแล้วตาย หายแล้วอยู่...
ลองตรองดู สลดจิต
..............
เดินสวนกัน แล้วลืมไป
ความเยาว์วัย สลายสิ้น
ไม่ทิ้งกลิ่น แห่งเดียงสา
.............
จะร้อนรุ่ม สุมในอก
ลนละเมอ และเพ้อพก
บินอย่างนก แล้วตกอย่างฝุ่น
อณูจุณก็ไม่เหลือ
...............
นาทีนี้ จะนับหนึ่ง
ก้าวให้ถึง จังหวะร้อย
นาทีที่ร้อย.... ใช่ขึ้นร้อยหนึ่ง
เราบอกว่าถึง ...
ชะตาบอกว่าเริ่มใหม่
..........
เริ่มใหม่ ...
ด้วยลมหายใจดุจเดิม
แผ่ว
แผ่ว
แล้วก็
เก้า
แล้วก็
สิบ
เห็นอะไร.. ณ ลิบลิบ
อยู่ระยิบ เส้นชัยหรือ?
เราบอกไม่
ใครบอกใช่...
วิ่งต่ออีกหน่อย
ทะยอยก่อ
ยังไม่พอ...
.....
อวสาน
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพุทธ
จากการสังเกตพฤติกรรมความเชื่อของบุคคลทั่วไป ไม่ใช่คนมีความรู้อย่างเราๆนะ
1.ศาลพระภูมิ(พราหมณ์) พระเครื่อง สักยันตร์(พุทธปลอม การเอาศาสนามาหาประโยชน์เข้าตน) กุมารทอง(คุณไสย) รวมอยู่ในความเชื่อพุทธ
2. พ่อแม่ทำผิด ถือว่าถูก ให้หลับหูหลับตาเชื่อ หรือปล่อยเลยตามเลย เพราะเขาเป็นพ่อแม่เรา
(ความเชื่อเรื่องวัยวุฒิมาจากวัฒนธรรมโบราณ หาใช่พุทธที่แท้ไม่)
3. ศีล 5 มีง่ายๆแค่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ทำผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า
ที่จริงการทำให้คนอื่นเดือดร้อน การโกงนิดๆหน่อย การไปกิ๊กกับคนมีแฟน พูดจาแดกดัน ส่อเสียด เล่นยา ขายไพ่
ขายอบายมุขโดยตรงและโดยอ้อมก็ผิดหมดแล้ว!!
4. การแผ่เมตตาทำได้เฉพาะกับคนตาย ความจริงทำได้กับทุกคน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องท่องบทก็ได้ ขอให้จิตตั้งมั่นเป็นพอ
5. การห้อยพระจะช่วยกันผีได้ - ผีจะมาหรือไม่ อยู่ที่กรรมเวรของเรา และจิตใจเราล้วนๆ พระไม่ได้ช่วยอะไรเลย
6. กามารมณ์ไม่ใช่เรื่องของคนธรรมะธรรมโม - กามารมณ์เป็นอุปสรรคต่อการบวช แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อปัญญาหรือการบรรลุธรรม แม้ในขั้นโสดาบัณก็ตาม
7. พระไตรปิฎก ถูกหมดทุกข้อ - กาลามสูตรระบุว่าไม่มีอะไรถูกหมด ต้องฟังหูไว้หู และใช้ปัญญาดูเอาเอง
8. ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย - นี่ก็มาจากความเชื่อเก่าของอินเดียที่กว่าผู้หญิงบาปหนากว่า... พระพุทธองค์เองไม่เคยพูดว่าเพศใดเหนือกว่า!! จริงๆนะ!!
9.พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายของประเทศอินเดีย - เทียบตามศักดิ์ปัจจุบันน่าจะเทียบได้กับลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ลูกอธิบดี ลูกรัฐมนตรีมากกว่า
10. พุทธะ แปลว่าปัญญา ...ศาสนาพุทธจึงแปลว่า ศาสนาที่ยึดปัญญาเป็นหลัก ซึ่งอยู่บนสติ การเชื่อตามๆกันนอกจากจะนำชีวิตไปในทางผิดแล้ว ยังพาให้ศาสนาเสื่อมอีกด้วย
อนุโมทนา!!
1.ศาลพระภูมิ(พราหมณ์) พระเครื่อง สักยันตร์(พุทธปลอม การเอาศาสนามาหาประโยชน์เข้าตน) กุมารทอง(คุณไสย) รวมอยู่ในความเชื่อพุทธ
2. พ่อแม่ทำผิด ถือว่าถูก ให้หลับหูหลับตาเชื่อ หรือปล่อยเลยตามเลย เพราะเขาเป็นพ่อแม่เรา
(ความเชื่อเรื่องวัยวุฒิมาจากวัฒนธรรมโบราณ หาใช่พุทธที่แท้ไม่)
3. ศีล 5 มีง่ายๆแค่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ทำผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า
ที่จริงการทำให้คนอื่นเดือดร้อน การโกงนิดๆหน่อย การไปกิ๊กกับคนมีแฟน พูดจาแดกดัน ส่อเสียด เล่นยา ขายไพ่
ขายอบายมุขโดยตรงและโดยอ้อมก็ผิดหมดแล้ว!!
4. การแผ่เมตตาทำได้เฉพาะกับคนตาย ความจริงทำได้กับทุกคน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องท่องบทก็ได้ ขอให้จิตตั้งมั่นเป็นพอ
5. การห้อยพระจะช่วยกันผีได้ - ผีจะมาหรือไม่ อยู่ที่กรรมเวรของเรา และจิตใจเราล้วนๆ พระไม่ได้ช่วยอะไรเลย
6. กามารมณ์ไม่ใช่เรื่องของคนธรรมะธรรมโม - กามารมณ์เป็นอุปสรรคต่อการบวช แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อปัญญาหรือการบรรลุธรรม แม้ในขั้นโสดาบัณก็ตาม
7. พระไตรปิฎก ถูกหมดทุกข้อ - กาลามสูตรระบุว่าไม่มีอะไรถูกหมด ต้องฟังหูไว้หู และใช้ปัญญาดูเอาเอง
8. ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย - นี่ก็มาจากความเชื่อเก่าของอินเดียที่กว่าผู้หญิงบาปหนากว่า... พระพุทธองค์เองไม่เคยพูดว่าเพศใดเหนือกว่า!! จริงๆนะ!!
9.พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายของประเทศอินเดีย - เทียบตามศักดิ์ปัจจุบันน่าจะเทียบได้กับลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ลูกอธิบดี ลูกรัฐมนตรีมากกว่า
10. พุทธะ แปลว่าปัญญา ...ศาสนาพุทธจึงแปลว่า ศาสนาที่ยึดปัญญาเป็นหลัก ซึ่งอยู่บนสติ การเชื่อตามๆกันนอกจากจะนำชีวิตไปในทางผิดแล้ว ยังพาให้ศาสนาเสื่อมอีกด้วย
อนุโมทนา!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)