วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือการผลักดันแบบคีช?

เมื่อไม่นานมานี้คนไทยเราคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่าเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy ซึ่งได้รับการผลักดันจากกระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายง่ายๆหากใครคิดตามไม่ออกก็คือการทำสินค้าเชิงสร้างสรรค์ออกมาขาย คำว่าสร้างสรรค์นั้นแตกต่างจากสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ต้องมีอะไรใหม่ ไม่ต้องประดิดประดอยเกินงามหรือใช้เทคโนโลยีสูง อะไรก็ได้ง่ายๆ ทำเองได้ น้อยชิ้นก็ได้ มีกำลังผลิตมากทำได้มากก็ตามสะดวก องค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนี้ก็หนีไม่พ้น TCDC ศูนย์การออกแบบ ตั้งแอบๆอยู่ที่ชั้นหก ณ ห้างเอ็มโพเรี่ยม ติดกับโรงภาพยนตร์ราคาแพงนั่นเอง

Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”

ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย

งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ

การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...


สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น