ควายอาร์ต หรือ วิจิตรศิลป์นั้นแปลเป็นไทยให้ตรงเป๊ะน่าใช้คำว่า ละเมียดศิลป์ ซึ่งผู้ชมเองก็ต้องละเลียดชม ห้ามยกซดเด็ดขาดมิฉะนั้นจะไม่รู้เรื่อง... วิจิตรศิลป์คือศิลปะที่ปราศจากประโยชน์ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นภาพ2มิติ งาน3มิติ หรือ 4มิติ ....กล่าวคือ มีไว้ดู มีไว้จับ เพื่อจรรโลงใจล้วนๆ หาใช่เพื่อนำมาเป็นสาธารณูปโภคไม่
ในสมัยหลายร้อยศตวรรษที่แล้วจิตรกรมีหน้าที่หลักคือวาดรูปเหมือน หรือปั้นรูปเหมือน เพราะไม่มีกล้องถ่ายภาพ จิตรกรดังหลายท่านวาดภาพ คน สัตว์ สิ่งของ เพื่อความสำราญของตนและสังคม สถานภาพทางสังคมของจิตรกรอาจเทียบได้กับผู้กำกับหนัง หรือ ช่างภาพ ในปัจจุบันซึ่งมีบุคลิกเซอร์ๆ บางครั้งสกปรก หน้าม่อ และหลงตัวเอง บางคนที่มีบรรดาศักดิ์ที่สูงหน่อยก็อาจเรียกได้ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงกันเลยทีเดียว
ความเชื่อที่ว่าควายอาร์ตเป็นของสูงและบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นเกิดขึ้นจากแถบยุโรปและเมืองจีนพร้อมๆกัน ในยุคที่ผู้มีเงินซื้อศิลปะชั้นเลิศจะมีเพียงชนชั้นนำของสังคม ชนชั้นรองๆลงมาก็เสพย์ได้เพียงศิลปะข้างถนน หรือ การแสดงจำอวด แม้เมื่อยุคสมัยดังกล่าวหมดสิ้นลงความคิดแยกแยะประเภทศิลปะตามชนชั้นวรรณะของผู้เสพย์ไม่ได้เลือนหายไปด้วย คำว่า Fine Art จึงขึ้นแท่นเป็น Pure Art หรือ ศิลป์บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครกล้ากังขา
ส่วนศิลปะอีกแขนงที่เดินตามมาจนกลายเป็นไฮโซ ณ ปัจจุบันคือ Fashion ซึ่งก็มาจากในพระราชวังฝรั่งเศสอีกนั่นแหละ!
ด้วยเหตุนี้เองการละคร การดนตรี ผลิตภัณฑ์ หรือ ศิลปะสิ่งพิมพ์กลับกลายเป็นสิ่งฝั่งอนุรักษ์นิยมมองว่าไม่ Fine ไม่ควาย..ไม่ละเมียด เพียงเพราะกำเนิดขึ้นนอกรั้ววัง เราอาจไม่รู้ตัวว่าเราซึบซับวัฒนธรรมทางความคิดดังกล่าวไปแล้วผ่านการปลูกฝังในครอบครัว การเชื่อตามๆกันมา หรือการบอกเล่าของครูสอนวิชาวิจิตรศิลป์ซึ่งย่อมยกหางตัวเองโดยอัตโนมัติ
เคยมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอังกฤษคนหนึ่งตั้งข้อกังขาว่า ... หากเราอยู่ในยุค Post Modern จริง เหตุไฉนความคิดเราจึงยังติดกรอบของมนุษย์ยุควิคตอเรียน... ค่านิยมใดที่ยุคนั้นชื่นชอบหรือสาปส่งเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรื่อยไป นักเขียนคนดังกล่าวเอ่ยถึงแม้ค่านิยมเรื่องโสเภณี ซึ่งได้ค่าตัวสูงลิบและมีการกินยาป้องกันโรคติดต่อ... หล่อนใช้ชีวิตบนหอคอยงาช้างเยี่ยงนางแบบ FHM ในยุคเรา
โรงแรมห้าดาวยังใช้โคมไฟระย้าแบบวิคตอเรียน ม่านแบบวิคตอเรียนยังเป็นทัศนภาษาของความมีระดับ
ชี้แจงดังนี้แล้ว.. เราๆท่านๆอยู่ในยุคไหนกัน... หากยังจัดชนชั้นแม้ประเภทของศิลปะโดยอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเผลอมองงานผ่านกำพืดของมัน ไม่ได้มองชิ้นงานจริงๆ ...
เราอาจมองข้ามสาร โดยการตัดสินด้วยสื่อ วิธีการมองแบบนี้อาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ สุนทรียะ
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น