วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเกี่ยวกับพิตบูลที่คุณอาจไม่รู้

มีข่าวพิตบูลสร้างความเดือดร้อน ในฐานะคนเลี้ยงพิตบูลที่ศึกษาหาข้อมูลมาพอสมควรจึงอยากให้ข้อมูลเกี่ยวกับพิตบูลค่ะ ขอเตือนคนที่คิดจะเลี้ยงว่า "ต้องศึกษาหลักการการเลี้ยงให้ดีที่สุด" กฎง่ายๆไม่กี่ข้อห้ามอ้างว่าไม่รู้ หรือรู้แล้วไม่ทำ เพราะอาจจะเกิดภัยกับตัวคนเลี้ยงและคนรอบข้างได้ ข้อมูล : 1.พิตบูลเป็นสุนัขที่หวงเจ้าของมาก ถ้าไม่ชอบใครที่เจ้าของพามาบ้านอาจจะหาเรื่องกัดได้ง่ายๆ อาการหวงเจ้าของเป็นทั้งกับสุนัขด้วยกัน สัตว์เลี้ยงอื่นและคนที่เจ้าของคุยด้วย 2.ถ้าได้รับการฝึกขั้นสูงหน่อย เจ้าของสามารถสั่ง “กัด” ใครก็ได้ที่อยากสั่ง 3.ทำไมสุนัขพิตบูลบางตัวยังกัดเจ้าของ กัดคนในครอบครัว ไหนว่ารักเจ้าของมากไง: พิตบูลรวมถึงสุนัขพันธุ์ดุอื่นๆ เช่นบางแก้วค่อนข้างเลือกเจ้าของ ถ้าทุบตี ทำไม่ดีด้วย หรือสั่งการไม่เด็ดขาด จะกลายเป็นว่าคนเป็นทาสสุนัข มันจะไม่เชื่อฟัง เหมือนเราเลี้ยงเด็กฉลาดมากคนหนึ่งแต่เราไม่ฉลาดเลย เด็กก็จะไม่นับถือเรา เจ้าของเลวๆหลายคนที่เลี้ยงไว้ต่อสู้จะใช้วิธีดีกับมันมากๆตอนมันเล็กๆเพื่อให้มันเชื่อใจยอมให้เป็นนาย หลังจากนั้นจะทุบตีบังคับให้ออกไปต่อสู้หรือทารุณมันตามอำเภอใจ น่าสงสารมากๆ เจ็บเพราะรัก 4.มีคนถามเหมือนกันว่าทำไมสุนัขพันธุ์นี้ชอบมีเรื่องกับพันธุ์อื่นๆ มาดูเหตุปัจจัยกันค่ะ 4.1 พิตบูลมีกลิ่นตัวที่แรงกว่าหลายๆสายพันธุ์และเป็นกลิ่นที่พันธุ์อื่น หมั่นไส้ ผู้เขียนเองเลี้ยงพิตบูลซึ่งเป็นสุนัขที่ฝึกมาแล้วว่าเล่นกับคนได้ ไม่หาเรื่องตัวอื่น แต่ครั้นเดินออกจากบ้านจะโดนหอนเป็นแถว นี่เป็นสาเหตุเพราะกลิ่นตัว 4.2 เวลาสุนัขจะสู้กันถ้ามีตัวไหนกระดิกหางแปลว่าแสดงความเป็นมิตรก็จะสามารถสงบ ศึกได้ เจ้าของชั่วๆบางคนชอบตัดหางพิตบูล ครั้นพอโดนตัวอื่นขู่ ไม่สามารถแสดงความเป็นมิตรได้ จึงกัดกันรุนแรง 5. ทำไมต้องตัดหู: เพื่อลดความเสี่ยงเวลาฟัดกับสุนัขอื่น และเพื่อความสวยงาม 6. เรื่องฟันของพิตบูล : เมื่อเห็นพิตบูลกัดกันในทีวีเลือดสาด ความจริงแล้วฟันมันใหญ่ ค่อนข้างคมแต่ไม่ได้คมเหมือนมีด ในทีวีที่มีเลือดออกมาเพราะมีการลับเขี้ยวด้วยอุปกรณ์พิเศษ ทำให้เมื่อกัดแล้วเลือดสาดทันที ฟันของพิตบูลจะขึ้นครบเมื่ออายุ 5 ขวบ ก่อนขึ้นสังเวียนมักจะโดนฉีดสเตียรอยด์หรือยาผิดกฎหมายอื่นๆ เศร้าเนอะ.. 7. พิตบูลเป็นสุนัขที่สู้คน ถ้ามีคนถือไม้มาไล่ตีอาจจะตกใจแรกๆ แต่จะหาทางกระโจนใส่ ยิ่งมีหลายตัวผู้ที่จะเข้ามาทำร้ายอาจจะโดนรุมกัด 8. ที่กล่าวมาอาจจะดูว่าพิตบูลเป็นสุนัขโหด แต่ในช่วง Babyboomที่อเมริกา มีอยู่ระยะหนึ่งที่ทารก-เด็กเล็กถูกลักพาตัว สุนัขพิตบูลถูกฝึกให้ดูแลเด็ก โดยเมื่อออกไปข้างนอกมีหน้าที่เฝ้ารถเข็นเด็กไม่ให้คนมาขโมย 9. พิตบูลเป็นสุนัขที่มีหลายสายพันธุ์รวมกันถึง 4 สายพันธุ์ จึงไม่แปลกที่หน้าตาแต่ละตัวจะแตกต่างกันไป คนไทยชอบเรียกง่ายๆแยกเป็นแค่สองสาย สายกัด กับ สายโชว์ค่ะ บางทีสุนัขที่กัดเด็กเป็นพันธุ์อื่นไปเลย เช่น Dogo Argentinoแต่ว่าหน้าคล้ายๆพิตบูล คนก็เข้าใจผิด กฎการเลี้ยง : 1. ห้ามเลี้ยงพิตบูลทีละหลายๆตัวในครัวเรือนเดียวกัน มีบางกรณีที่อาจเลี้ยงได้เช่น 1.1 เลี้ยงแยกกรง ปล่อยออกมาเดินเล่นคนละเวลา ไม่ให้ปะทะกันโดยตรง 1.2 เลี้ยงรวมเยอะเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องขังกรงก็ได้แต่ต้องพาออกกำลังกายวันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ปลดปล่อย สุนัขพันธุ์นี้แรงเยอะ พลังงานเยอะมาก ถ้าไม่ได้ปลดปล่อยจะหาเหยื่อฟัด หรือฟัดกันเอง เป็นที่เดือดร้อนกับทั้งชาวบ้านและเจ้าของ ดูจากรายการ The Dog Whisperer เจ้าของมีสุนัข 30 ตัวได้ เลี้ยงรวมในสวนกว้างมาก พาวิ่งทุกวัน เช้า 1 ชั่วโมง เย็นอีกชั่วโมง สุนัขหมดแรง … จึงอยู่กันอย่างสงบสุข 1.3 มีสามีภรรยาชาวอเมริกัน เลี้ยงพิตบูลคนละตัว โตมาด้วยกันแต่เล็กๆ ก็เลี้ยงได้อยู่รวมกันได้ไม่มีปัญหา เพราะมันไม่มีปัญหาแย่งเจ้าของกัน 2.ห้ามเลี้ยงไว้ในที่แคบ หรือขังไว้เกินวันละ 12 ชั่วโมงไม่งั้นจะดุ ที่จริงก็เป็นกับทุกสายพันธุ์นะ ที่ดีที่สุดคือบ้านควรมีสวน มีอาณาบริเวณให้วิ่งเล่น สุนัขพันธุ์ดุจะหงุดหงิดเป็นพิเศษเมื่อถูกจำกัดบริเวณ เคยเห็นคนอเมริกันเลี้ยงในอพาร์ตเม้นท์ขนาดประมาณ 30-40 ตารางเมตร ถือว่าแคบมากสำหรับพิตบูล เจ้าของต้องจัดแจงพาไปวิ่งวันละหลายๆชั่วโมง วันไหนไม่ว่างจะจ้างคนพามันเดินเล่น เรียกว่าหาทางแก้ปัญหาสุดฤทธิ์ 3. ควรนำสุนัขไปขึ้นทะเบียนและฝังชิป คนเลี้ยงสุนัขมักไม่ยอมนำสุนัขไปลงทะเบียนและใส่ชิปที่ตัวสุนัข โดยเฉพาะพันธุ์ดุ เมื่อเดือนที่แล้วมีสุนัขพิตบูล 3 ตัวรุมกัดคุณลุงจนแขนขาด เจ้าของผฏิเสธว่าไม่ใช่ของตน... ทั้งที่หากว่ามีการบังคับให้นำสุนัขไปลงทะเบียนจะสามารถเอาผิดเจ้าของได้ทันที.. การไม่มีกฎหมายคือการสนับสนุนให้คนเลี้ยงแบบไม่รับผิดชอบในทางอ้อมนั่นเอง 4. ห้ามปล่อยออกนอกรั้วบ้านเป็นอันขาด 5. เมื่อมีแขกมาบ้านให้ล่ามไว้ในระยะที่ไม่สามารถเข้าถึงตัวแขกได้ ถ้าแขกอยากเล่น เจ้าของต้องอยู่ด้วยอย่างใกล้ชิด 6. พาออกไปเดินเล่นได้ แต่ให้ใช้สายจูงและสายรัดอก ตะกร้อไม่ต้องใช้ก็ได้แต่ต้องคอยดึงตลอด 7. เมื่อพาออกนอกบ้าน ยิ่งถ้ามีคนเยอะๆจำเป็นต้องพก "ไม้งัดปาก" เอาไว้งัดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ 8. เมื่อถึงระยะเป็นสัดให้แยกบริเวณออกจากตัวอื่น ทั้งตัวเมีย ตัวผู้ ระยะนี้อารมณ์จะร้ายมาก กรณีตัวเมียกัดตัวผู้จนตายก็มีให้เห็นเยอะ สรุปแล้ว สุนัขโหดกัดคนกัดเด็ก กัดกันเอง อยู่ที่เจ้าของ พิตบูลเป็นเหมือนอาวุธรุนแรง ถ้าดูแลไม่ดีอาจเกิดหายนะได้มากกว่าพันธุ์อื่นๆค่ะ ก่อนตัดสินใจเลี้ยงให้คิดหนักๆ ขณะเลี้ยงก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้นไปอีก ขอให้โชคดีค่ะ

นโยบายรถคันแรก :บริโภคแบบโลกที่สาม!

เมื่อราวปลายปี 2552 ดิฉันเคยเขียนบทความเกี่ยวกับอิทธิพลทางสังคมที่ Blackberry เข้ามายึดพื้นที่ในสังคมไทย เวลาผ่านมาไม่กี่ปีนักทั้ง iPhone,iPad ก็เข้ามายึดครองพื้นที่ของ Blackberry ไปเสียหมดแล้ว จำนวนคนไทยที่ต้องผ่อนจ่ายสินค้าเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนยังผ่อนตัวเก่าไม่หมดก็เริ่มผ่อนตัวใหม่ หากผ่อนได้แบบสบายๆก็คงไม่น่าจะหนักหนาอะไรแต่ดิฉันมีประเด็นที่น่าสนุกกว่าของเล็กๆแค่หลักหมื่นอย่างโทรศัพท์มือถือนั่นก็คือ “รถ” และไม่ใช่รถที่เสียภาษีสรรพสามิตแบบทั่วๆไปแต่เป็นนโยบายรัฐฯ(สไตล์ประชานิยม)ที่ออกมาเพื่อให้คนไทยได้ใช้รถกันถ้วนหน้า เสมือนหนึ่งว่าเราผลิตรถได้และรถยนต์นั้นจำเป็น อย่าหาว่าดิฉันต่อต้านเพราะจน ไม่มีปัญญาซื้อรถ หรือเพราะรวยจนซื้อเบนซ์เงินสดได้แบบสบายๆเลยไม่อยากให้มีใครมาซื้อรถเบียดดิฉันในถนนเลย ดิฉันเป็นชนชั้นกลางคนหนึ่งอย่างเราๆท่านๆและก็ประสบปัญหาอย่างที่หลายๆท่านเคยพบเกี่ยวกับการเดินทางนั่นคือ “ระบบการคมนาคมของประเทศไทยย่ำแย่ขั้นเทพ” กล่าวกันที่กรุงเทพฯก่อน - รถเมล์ มาไม่ตรงเวลา ขับหวาดเสียว ผิดกฎจราจร ทั้งที่รถเมล์ควรจะเป็นตัวแทนของรัฐฯ เป็นตัวอย่างที่ดีต่อประชาชน ความสกปรกก็เหลือร้าย ความอันตรายเหลือแสน บางสายมีแทงกันตายในรถ เคยมีกรณีซ่อนระเบิดอีกด้วย แม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็พอให้คนที่ต้องใช้รถเมล์สายนั้นหวาดหวั่นไปสักระยะ - แท็กซี่ โบกแล้วไม่ไป ไล่ลงกลางทาง ด่าทอผู้โดยสาร บางรายถึงขั้นทำร้าย ข่มขืน โกงมิเตอร์ - มอเตอร์ไซค์ ราคาแตกต่างกันแล้วแต่เขตพื้นที่และเวลา แถวสยาม สาธร หมอชิต แพงกว่าที่อื่น เมื่อฝนตกราคาเพิ่มสองเท่า หมวกบางครั้งไม่มีอันตรายมาก บอกลูกค้าว่า “ตำรวจไม่ว่าหรอก คุยให้แล้ว” แบบนี้ล้มฟาดพื้นไปใครจะรับผิดชอบกันละคะ - รถสองแถวในซอย ราคาและเวลาไม่แน่นอน บางครั้งไม่จำกัดจำนวนคนขึ้น เบียดมากอาจโดนลวนลาม ดิฉันไม่ได้จะกล่าวหาว่ารถเมล์ แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ หรือรถสองแถว แย่ไปเสียหมด ข้อดีก็มีมากหลายและคนขับตลอดจนเพื่อนร่วมทางดีๆก็มีมากมายแต่ด้วยความที่บทความนี้ต้องการจะชี้ให้เห็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ประสบจึงเล็งไปที่ตัวปัญหา จึงต้องขออภัยผู้ที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้ ทีนี้มองออกไปนอกเมืองหลวงกันบ้าง - เครื่องบินในประเทศเทียบกับราคาค่าครองชีพนั้นแสนแพง - รถไฟ ช้ามาก ปัญหาตกรางบ่อยๆ กำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้ ร้อน ฯลฯ - มอเตอร์ไซค์ขับเองตามต่างจังหวัด เวลาเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งจะรุนแรงมากเพราะทางกว้าง ไม่ใช่การเฉี่ยวชนแบบในกรุงเทพฯ อาจเสียชีวิต เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลให้คนไทย “อยากมีรถยนต์ส่วนตัว” ซึ่งเป็นเหตุผลที่น่าจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เหตุผลฟุ้งเฟ้อจำพวก “ อยากเอาไว้อวดสาว” “อยากอวดเพื่อน” “อยากให้คนเห็นว่าประสบความสำเร็จ” ดิฉันมองว่าประเทศไทยทั้งประเทศมีปัญหามากด้านการคมนาคม และปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุตามหลักการของพุทธและวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกัน ทุกข์ – คนไทยเดินทางไม่สะดวก สมุทัย – เพราะอะไร ก็เพราะระบบไม่เอื้อต่อการคมนาคมที่ดี นิโรธ – ประชุมร่วมกันเพื่อหาทางแก้ที่ตัวระบบ 1.ปรับปรุงรถเมล์ เช่น อบรมคนขับ ออกแคมเปญให้คนร่วมใช้รถเมล์ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ทิ้งขยะ หากพบเห็นการลวนลามแล้วส่งตำรวจมีเงินให้ ฯลฯ (อันนี้คิดเองเล่นๆ) 2.แก้ที่กฎการตั้งอู่แท็กซี่ เช่น ทำไมอู่และแท็กซี่มีเกลื่อนเมืองแต่ไม่ยอมรับผู้โดยสารคนไทย ทำไมรอรับแต่ต่างชาติ ทำไมไม่รับคนขึ้นตอนฝนตก พอชั่วโมงเร่งด่วนไม่ยอมกดมิเตอร์ ฯลฯ ทำไมแท็กซี่ถึงไม่ได้รับการอบรมก่อนมาขับ มีการด่าทอผู้โดยสารเป็นเรื่องปกติ มรรค – เมื่อได้ทางร่วมกันแล้วก็นำงบประมาณมาจัดตั้งหน่วยงาน คล้ายๆ ปปส. “หน่วยงานปรับปรุงระบบคมนาคมแห่งประเทศไทย” อะไรก็ว่าไป นี่คือปัญหาระดับชาติ เรามี ปปส.เรามี สสส. แต่ทำไมเราไม่มีหน่วยงานด้านนี้โดยเฉพาะ การแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ออกตัวว่าเป็นเมืองพุทธแต่ขาดการพินิจพิจารณาปัญหาแบบพุทธนั้นเห็นทีจะทำให้ประเทศไปได้ยาก การแก้ปัญหาของท่านเป็นการแก้แบบกำปั้นทุบดินทำนองว่า “ลำบากนักใช่ไหม.. ซื้อรถมันซะทุกคนแล้วจะสบายเอง” โดยที่ท่านไม่ได้มองว่าหน้าที่ที่แท้จริงของท่านคืออะไร ผลสุดท้ายรถจะยิ่งติดขึ้นเรื่อยๆ ควันจะยิ่งดำ น้ำมันจะยิ่งแพง …และรัฐบาลเองคงได้ข้ออ้างในการสร้างถนนใหม่อีกหลายสาย ใช่หรือไม่.. ท้ายสุดดิฉันเองซึ่งเป็นประชาชนตาดำๆ ไม่ได้มีปัญญาเดินเข้าสภาไปออกกฎก็ได้ตัดสินใจซื้อรถ ได้ยื่นแบบคืนภาษีกับทางสรรพสามิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสมือนหนึ่งต้องเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ดิฉันรู้สึกเสมือนหนึ่งว่าตนเองไม่มีสิทธิ์เลือกอะไรเลยเพราะการคมนาคมบ้านเราเลวร้ายเหลือเกิน ดิฉันยินดีควักเงินส่วนหนึ่งจากที่เก็บมาทั้งชีวิตมาซื้อรถยนต์ซึ่งดิฉันมองแล้วว่าย่อมดีกว่ามาเสี่ยงกับระบบคมนาคมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในทั้งเรื่องราคา เวลา และความปลอดภัย ดิฉันเชื่อว่าตัวเองเป็นคนไทยที่ยังโชคดีเพราะมีเงินสดเก็บไว้ แต่ลองนึกถึงคนทั่วๆไปที่มีรายได้ต่อเดือนเดือนละเพียง 5,000-20,000 บาท ต้องผ่อนรถยนต์คันละอย่างต่ำ 400,000 บาท เท่ากับต้องใช้เวลาผ่อน 40 เดือน เดือนละ 10,000 บาทเป็นอย่างต่ำแล้วเงินที่เหลือจะสามารถนำมาใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เราได้ก้าวสู่หลุมดำแห่งการบริโภคแบบโลกที่สามอย่างจริงจัง หลังจากที่คนจำนวนไม่น้อยได้ใช้เงินมากกว่าเงินเดือนซื้อโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้ก็มีคนไม่น้อยใช้เงินมากกว่าที่หาได้ 5 ปี มาซื้อรถ อีกหน่อยคงได้เห็นคนซื้อบ้านราคามากกว่าที่หาได้ทั้งชาติ..… ดิฉันไม่อยากเห็นลูกหลานเราในวันนั้นเลยค่ะ อ้างอิงจาก https://www.facebook.com/natdeuxsix?ref=tn_tnmn#!/notes/nat-dh/%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%81-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1/10151190350541872

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มารการศึกษาตัวจริง

เมื่อดิฉันกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ สิ่งที่คนรู้จักถามมากที่สุดเห็นจะเป็นคำถามที่ว่าเหตุไฉนไม่สนใจทำธุรกิจการศึกษา เช่น ส่งเด็กไปเรียนนอก หรือเปิดติวราคาแพงๆ

เหตุผลข้อเดียวที่ดิฉันต้องตอบตามความจริงที่เห็นคือธุรกิจการศึกษาดูจะเป็นธุรกิจอันโสมม ขายฝันแบบเหมาจ่าย เคยลองถามโรงเรียนเดอะติวเตอร์ว่าจ่ายครูเท่าไร ราคาอยู่ที่สองร้อยห้าสิบบาท มีอัดเทปด้วยและโรงเรียนจะเอาเทปที่เราสอนไปเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ตั้งราคาติวรอบเทปชั่วโมงละเป็นร้อยในห้องที่มีเด็กราวห้าสิบคน เรื่องค่าแรงก็ส่วนหนึ่งแต่เรื่องที่ธุรกิจขายฝันนี้ได้ฝังรากเข้าไปในสมองของเด็กคือ

เมื่อจบคอร์สนี้แล้วจะได้ …… ได้ห่าได้เหวอะไรก็ตามที่เด็กอยากใส่ไปในช่อง

เป็นต้นว่า เมื่อเรียนภาษาอังกฤษกับสถาบันนี้แล้วจะได้เป็นแอร์การบินไทยตามใจฝันโดยหารู้ไม่ว่าการบินไทยต้องมีเส้นใหญ่ระดับควายถึงเข้าได้

ลองมาดูตัวอย่างเส้นทางโสมมที่หากินกับอนาคตของคนกันนะคะ

1. ส่งเด็กไปเรียนนอกแพงๆ
ประสบการณ์ตรงของดิฉันมาจากบริษัทโอเวอร์ซีเอ็ด ซึ่งตอนนั้นได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกา โฆษณาชวนเชื่อหลายอย่างโดยเมื่อไปถึงก็ไม่ดูแล บ้าน โรงเรียนเถื่อนขั้นเทพ ยังดีที่ดิฉันได้ทุนเต็ม เสียแค่ค่าเครื่องบิน หลายๆคนที่ไม่มีความสุขก็อดทนไปทั้งปี

กรณีนี้ยังไม่เสื่อมทรามเท่าหลายบริษัทที่ออกตัวว่าเรียนโทอังกฤษปีเดียว ไม่ต้องสอบไอเอล หรือสอบได้แค่ห้ากว่าๆก็ไปได้... เมื่อเด็กเหล่านี้ไปถึง ความสามารถไม่พอ ต้องเรียนไปเรื่อยๆและไม่ผ่าน เคยทราบจากคนรู้จักว่าสุดท้ายใช้เวลาเรียนโทราวสี่ปี เสียเวลาและเงินให้ผู้ประกอบการและโรงเรียนที่ไร้จรรยาบรรณ บางคนใช้เวลาแปดปีก็มี

เรื่องส่งเด็กไปเรียนนอกแพงๆนั้นต้องดูเป็นกรณีไป แต่มหาลัยฝรั่งดีๆส่วนใหญ่มันไม่มีศูนย์ในเมืองไทยหรอกค่ะ ต้องสมัครไปเอง และยากมากที่จะเข้าได้

ศูนย์แนะนำมักพร่ำบอกว่า จบออกมาสามารถทำงานเมืองนอกได้ มีรุ่นพี่ทำงานที่นั่นที่นี่

โดยแท้จริงคนเหล่านั้นได้งานเพราะเหตุผลอื่น เช่น มีแฟนต่างชาติเลยได้พาสปอร์ต หรือ มีนามสกุล



2. รับจ้างเขียนรายงาน

ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักหลายท่าน ซึ่งยินดีโทรศัพท์มาให้ด่า ว่ากำลังหาคนเขียนรายงานหรือทำรายงาน เล่มละประมาณสามหมื่นบาท บอกได้คำเดียวเลยว่าไม่รับทำ ดิฉันไม่เห็นคุณค่าของความรู้จอมปลอมซึ่งนักเรียนไร้จรรยาบรรณตกลงกับผู้ประกอบอาชีพที่ไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ในการกระทำของตนเอง

คนที่รับเขียนรายงานหรือทำรายงานมักอ้างเสมอว่า ถ้าเขาไม่จ้างเรา เขาก็ไปจ้างคนอื่น

ณ จุดนี้ดิฉันจะถามให้ละเอียดว่านักเรียนคนนั้นต้องการอะไร อย่างไร และยินดีสอนเขียนรายงาน สอนทำรายงานให้ในราคาถูกๆเพียงชั่วโมงละสองร้อย ถ้าน้องคนนั้นๆยินดีจ่ายสามหมื่น จะได้ชั่วโมงเรียนร้อยห้าสิบชั่วโมง

บุคคลที่โทรศัพท์มาสามคนถ้วนนั้นหายไปและไม่โทรมาอีกเลยตามความคาดหมายของดิฉัน

คาดว่าคงไปจ้างคนอื่น ถามว่าสังคมเปลี่ยนไปไหมก็ไม่ แต่ดิฉันอยากให้คนที่โทรมาได้ทราบว่าอย่างน้อยๆในโลกที่มีคนยินดีหาเลี้ยงชีพด้วยการลดมาตรฐานการศึกษาไทย ดิฉันคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เห็นด้วยเพราะเด็กคนนั้นจะโง่ตลอดไป เห็นใบปริญญาเป็นมาม่า สี่ปีสุก แดกได้ แต่ไร้สารอาหาร

ก็ได้้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งคนจะเลิกรับจ้างเขียนรายงาน พวกที่อยากจ้างจะได้หัดเขียนเอง และละอายตัวเองอย่างจริงๆจังๆ



3. ขายรายงาน หรือผลงานที่ตัวเองเขียน

ค่ำวันหนึ่งดิฉันได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่า ว่าด้วยเรื่องคนรู้จักของหล่อนต้องการเข้าแฟชั่นที่เซนต์มาร์ตินให้ได้ ..

หล่อนถามว่าดิฉันยินดีให้เพื่อนของหล่อนนำงานดิฉันไปสมัครเรียนหรือไม่

โดยจะให้ค่าตอบแทนหนึ่งแสนหากดิฉันพอใจ

หากไม่พอใจให้โทรไปเจรจากับเพื่อนของหล่อน

..

“ ขอบใจนะแก แต่เรามีจรรยาบรรณพอที่จะไม่หลอกเพื่อนแกว่ะ

เพื่อนแกถ้าเข้าไปได้จะเรียนได้เหรอ อาจจะโดนไล่ออกนะ

วิธีการคิดงานของโรงเรียนเรากับที่อื่นไม่เหมือนกันจริงๆ

ถ้ารีบอยากทำพอร์ต เราสอนได้นะ เราเน้นสอนคนกับรับงานออกแบบแต่ไม่รับทำงานให้จริงๆว่ะ บอกเพื่อนแกแล้วกันว่าโทรมาคุยได้ ปรึกษาได้”



4. สอนหนังสือแบบส่งๆ

ช่วงที่ดิฉันไม่ทำงานประจำ ได้ลองลงประกาศว่ารับสอนศิลปะ โดยเด็กที่โทรเข้ามาถามมักจะทราบว่าดิฉันเคยได้ที่ 1 สายศิลป์ของประเทศเมื่อปี 2547

ประหลาดนักที่เด็กพวกนี้ต้องการใช้เวลาเพียง 1 เดือนในการเตรียมตัววิชาวาดรูปโดยที่ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน ยกตัวอย่างบทสนทนาทางโทรศัพท์

“ พี่แน้ตใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

“หนูอยากติวเข้าศิลปกรรม ที่ธรรมศาสตร์ค่ะ”

“ ทำไมถึงอยากเข้าละคะ”

“ ก็ ..หนูชอบดูแฟชั่นโชว์ค่ะ”

ในกรณีที่เด็กโทรเข้ามาถาม หรือ ส่งอีเมลเข้ามาถาม ดิฉันจะถามเจาะ ชวนคุยก่อนเลยว่าเพราะอะไรถึงอยากเรียน

ถามไปถามมา เด็กๆพวกนี้แบไต๋ออกมาว่าเพราะคิดว่าง่าย

เด็กคิดว่าการสอบเข้ามหาลัยเป็นมาม่า เดือนเดียว ติวแล้วเสร็จ เข้าได้เลย

เด็กเกินครึ่งถามว่า “ต้องกลับไปวาดเองที่บ้านด้วยเหรอพี่”

ทั้งที่เด็กๆพวกนี้บอกโจทย์ว่ามีเวลาเดือนเดียวโดยไม่มีพื้นฐาน

ในกรณีที่มีพื้นฐานแล้วดิฉันจะให้เด็กสแกนผลงานหรือเอาลงเว็บไซต์มาให้ดูหน่อย

ซึ่งก็หายไปอีกเช่นกัน เพราะบอกว่าขี้เกียจเอาลงเว็บ

“พี่ให้การบ้านเยอะรึเปล่าคะ”

“เยอะค่ะ พี่ต้องให้เยอะ เพราะหนูมีเวลาไม่มาก”

เด็กที่เลือกเรียนศิลปะในประเทศเราหลายคนเลือกเรียนเพราะคิดว่าง่าย เลือกอะไรไม่ได้แล้ว

หรือเลือกส่งๆ สถาบันที่สอนส่วนใหญ่ไม่ถามเด็กเลยว่าเพราะอะไรถึงอยากเรียน มีเวลาแค่ไหน ครูที่มีจรรยาบรรณต้องไม่หลอกเด็ก ไม่เอาลูกกวาดไปล่อว่าจบคอร์สแล้วจะได้นั่นได้นี่

ในโลกแห่งความเป็นจริง เด็กจะได้ความรู้ ได้ปริญญาที่มีคุณภาพก็ต่อเมื่อขยันและมีวินัยเท่านั้น สรุปจนถึงทุกวันนี้ดิฉันยังไม่ได้ปั้นเด็กคนไหนในฐานะนักเรียนเลย

รับสอนภาษาอังกฤษให้แค่ที่เดียวเท่านั้น ยังดีที่เด็กๆหลายคนที่คุยแล้วมีแวว ดูตั้งใจจริงนั้นสอบเข้าได้สมใจเพราะกลับไปฝึกเองที่บ้าน เรียนเอง คิดเอง ไม่ได้ติวที่ไหนเลย

เด็กพวกนี้ส่วนใหญ่ยังส่งอีเมลเข้ามาทักทายเป็นบางครั้ง



นับเป็นเวลาหลายปีที่ดิฉันปฏิเสธเงินง่ายๆรวมแล้วหลายแสนบาทแลกกับจรรยาบรรณที่กินไม่ได้

ถามว่าคุ้มไหม อาจจะมีเพียงดิฉันที่ตอบกับตัวเองว่าคุ้ม

ดิฉันอยากให้การศึกษาไทยดีขึ้น โดยเฉพาะด้านศิลปะที่เด็กๆจะคิดว่าเรียนเพื่อสอบเข้า เพื่อมีอาชีพ

ศิลปะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตแต่คือชีวิตโดยเนื้อของมันเอง เราวาดรูปเพื่อให้กล้ามเนื้อมือดี เราปั้นเพื่อบริหารสมาธิทำให้สมองโล่ง ศิลปะทำให้เด็กๆยิ้มและมีแรงทำสิ่งสร้างสรรค์อื่นๆ

ค่านิยมที่ว่าการศึกษาคือมาม่า น่าจะเปลี่ยนไปได้แล้ว

มารการศึกษา ไม่ใช่กระทรวงศึกษาหรือเด็กลูกคนงานที่โดนแดกดันว่าจน ว่าโง่

คนพวกนี้แหละที่นำเงินเข้าประเทศไทยมากเสียกว่าวิศวกรที่จบแล้วทำงานให้โรงงานต่างชาติทำให้บ้านเราขาดดุล

มารการศึกษาคือผู้หาผลประโยชน์จากธุรกิจขายฝัน

หลอกลวงอนาคตของชาติว่าเราจะดีกว่าคนอื่นเมื่อเราซื้อบริการการศึกษาของเขา เมื่อเราเอาเงินไปซื้อฝัน ซึ่งเป็นฝันของเขาที่จะได้ร่ำรวยสมใจ


ดิฉันอยากให้คนไทยมีความตื่นตัวเรื่องการศึกษาให้มากกว่านี้

เราบ่นเสมอว่าการศึกษาไทยห่วย แต่เรายังมองค่านิยมเรื่องไปเรียนนอกแพงๆในมหาลัยห้องแถวแล้วกลับมาอวดว่าเป็นเรื่องปกติ

เราเห็นการรับจ้างเขียนรายงาน ขายงาน สอนหนังสือแบบส่งๆโดยไม่สนใจที่มาที่ไปของเด็กเป็นเรื่องธรรมดา

ถ้าเรารับตรงนี้ได้เราต้องกลับมามองตัวเองแล้วล่ะ ว่ามีคุณภาพแค่ไหน

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผู้ชายไทยเล้ว เลว!!


หมายเหตุ* บทความนี้อาจประกอบด้วยคำไม่สุภาพ อ่านแล้วอาจสะใจ อาจได้ข้อมูล แต่ไม่อาจช่วยขัดเกลาจิตใจได้ บทความนี้มาจากความจริงล้วนๆ



เดี๊ยนขอสารภาพด้วยความสัจจริงว่าเดี๊ยนรักผู้ชายไทยมาก รักมากในฐานะเพื่อน พี่ น้อง เจ้านาย ในทุกฐานะ ยกเว้น กิ๊ก แฟน หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพทางชู้สาว

เพราะอะไรนะหรือคะท่านผู้อ่าน!

นั่นก็เพราะผู้ชายไทยจากประสบการณ์ของเดี๊ยนและเพื่อนๆสามารถสรุปได้ด้วยคำคำเดียว

‘เหี้ย’






ยังจำได้ถึงวัยประถมและมอต้นที่มีผู้ชายไทยมาจีบ เอาของขวัญมาให้

เขาเหล่านั้นเป็นคนดีในฐานะเพื่อน แต่ไม่รู้ทำไมชอบทำอะไรกล้าๆกลัวๆ ก้มๆเงยๆทำติ่งอะไรไม่รู้

ดูแล้วงง มึงเป็นไรมากปะเนี่ย เดี๊ยนคิด.....

เดี๊ยนยังจำประสบการณ์นั้นได้ดี ตอนอยู่ธรรมศาสตร์ มีผู้ชายคนหนึ่งโทรมาจีบ เรียกว่าไอ้โรคจิตดีกว่า มันโทรมาแล้วพูดกับเดี๊ยนว่า ‘ของเรายาวเจ็ดนิ้วกว่า’

สมัยนั้นเดี๊ยนยังอินโนเซ้นส์ ก็ยังงงๆแล้วเข้าใจว่าเป็นขนาดหลอดไฟที่หอ...



แฟน เก่าเดี๊ยนที่เป็นคนไทย เป็นเพื่อนที่ประเสริฐมาก แต่เดี๊ยนคิดผิดที่เอามันทำแฟน สาเหตุคือตอนจะเลิกกัน ไร้ความแมน โกหกพกลมเหยียดยาว มีการใส่ร้ายป้ายสีผู้หญิงเพื่อโยนความผิด..เป็นอะไรมากปะเนี่ย



เพื่อน เดี๊ยนที่คบๆผู้ชายไทยอยู่ ณ บัดนี้หรือ ณ บัดโน้น ณ บัดไหนก็ตามยังคอยบอกว่าเจ้าชู้เหลือร้าย เผลอไม่ได้มีนอกใจ มีกิ๊กแบบไร้จรรยาบรรณ โกหกบ้างอะไรบ้างเรื่อยเปื่อย

ไม่รู้ว่าจะทำ ตัวดีบวชให้โคตรเหง้าศักราชไปทำไม ในเมื่อตอนบวชมันยังแอบเล่นเอ็มกับกิ๊ก แอบดูหนังโป๊ มารศาสนาชัดๆ นี่แหละ! ผู้ชายไทยที่เดี๊ยนเห็น...



เพื่อนเดี๊ยนเคยเจอเป็นๆคือผู้ชายที่แอบขโมยสร้อยมันไปให้ผู้หญิงอื่น บอกตรงๆอายุเลยเบญจเพสแล้วยังไม่เคยเห็นผู้ชายชาติไหนทำ ยกเว้นผู้ชายไทย

อุบาทว์ ที่สุดที่เจอคือ ลองคบๆกันไปแล้วมันมาบอกเดี๊ยนว่า ‘เราชอบน้องเต้ยอะ ..เธออ้วนไป ไปลดความอ้วนได้ปะ..แล้วเราว่านะ เธอลองย้อมผมจะสวยกว่านี้ เอาแบบเป็นเกลียวตรงปลาย..แล้วเออ’

ก่อนที่ไอ้บ้านั่นจะพูดจบ เดี๊ยนก็วางสายแล้วแกล้งมันให้หนำใจ หลอกล่อให้มันไปรอที่ร้านอาหารแล้วชิ่ง

หลังจากนั้นก็ไม่คุยกันอีกเลยเพราะรับไม่ได้ในความไม่ให้เกียรติผู้หญิง

มึง ไม่ชอบเดี๊ยน เดี๊ยนไม่ว่า แต่อย่าขอให้เปลี่ยนเพราะเดี๊ยนไม่เคยขอให้มันสูงขึ้น ทำผิวแทน หรือบอกให้มันไปฟิตกล้ามท้อง..ไอ้ควาย มึงช่วยดูรูปพรรณสัณฐานตัวเองก่อนจะบอกว่าอยากได้แบบน้องเต้ยแล้วให้เดี๊ยน เปลี่ยนตาม งี้มึงอย่าคบกับเดี๊ยนเลยดีกว่า



ผู้ชายไทยไม่ให้เกียรติผู้หญิงในแง่ความเท่าเทียม หน้าใหญ่ หลายครั้งพยายามโชว์พาวแต่ไม่มีปัญญาทำอะไร บางคนนอกจากปัญญาจะไม่สูง การศึกษาด้อย หน้าตาไม่ดี บ้านจนแล้วยังไม่ยอมรับ ทำกร่างไปทั่ว เล่าให้กันและกันฟังถึงเรื่องโคโยตี้ เด็กเชียร์เบียร์ อาบอบนวดนานาประการ



ใน สังคมผู้ชายฝรั่งหากมีใครแพลมว่าเคยเฉียดกรายสถานอัปมงคมเหล่านี้จะหมายความ ว่าคุณไร้น้ำยาขนาดต้องจ่ายเงินเพื่อเพศสัมพันธ์เชียวหรือ!



เดี๊ยน ไม่ว่าหากคุณทำใจยอมรับ รักและเคารพตัวเอง หมั่นเข้าใจและสำเหนียก แต่หลายคนมองเพศแม่เหมือนเป็นวัตถุทางเพศ จะทำอะไรก็ได้ เพราะคิดว่าผู้หญิงซื้อได้ด้วยเงินหมด..ควายแท้ๆ



ทีนี้มาดูกันว่าทำไมฝรั่งถึงดีกว่าคนไทยราวหน้ามือเป็นหลังตีน

ผู้ชาย ฝรั่ง ..อ๊ะอย่างน้อยๆที่เดี๊ยนและผองเพื่อนเคยประสบมาก็ให้ความเคารพเพศแม่เท่า เทียมกับเพศผู้..เอ๊ย เพศพ่อ ยกตัวอย่างเช่น เดี๊ยนเคยคบฝรั่งคนหนึ่ง เป็นช่วงที่เดี๊ยนและเขาต่างก็เลิกกับแฟน

ใช้เวลาประมาณเดือนกว่าๆ อยู่ดีๆเขาก็หายไป จนกระทั่งได้มารู้ข่าวจากเฟสบุ๊คว่ามีแฟนแล้ว

สักพักเขาโทรมาขอโทษขอโพยว่าขาดการติดต่อไป นั่นก็เพราะเขากลับไปหาแฟนเก่าเรียบร้อยแล้ว

นี่คือการเคารพในสิทธิและเวลาของคนอื่น! ไม่ใช่กั๊กๆ เก็บๆ ขาดความชัดเจน พอโดนทำบ้างก็มาร้องไห้โวยวายแบบที่ผู้ชายไทยชอบทำ

ถัดมาที่เห็นได้ชัดในผู้ชายฝรั่งคือ เคารพตัวตนของคนอื่น ไม่มาสะเออะสั่งว่าเดี๊ยนต้องทำอะไรบ้าง

ควร จะเป็นเหมือนใครบ้าง ทำผมทรงอะไรบ้าง และยังมีความเคารพในพื้นที่ส่วนตัว ไม่มาสะเออะถามว่าทำไมเธอมีเพื่อนผู้ชายเยอะจัง ทำไมวันนี้กลับดึก ทำไมแต่งตัวแรง…



ตั้งแต่ลองคบคนไทยมา และ ลองคบฝรั่งมา ได้ผลว่าฝรั่งดีกว่าร้อยทั้งร้อย!



มี อยู่รายหนึ่งเพื่อนเดี๊ยนเล่าให้ฟัง ผู้ชายบอกเปิดเผยว่าคบสองคน แล้วมาบอกกับเพื่อนเดี๊ยนว่าแม่เขาชอบผู้หญิงอีกคนมากกว่า เลยห้ามเพื่อนเดี๊ยนไปบ้านมัน

เดี๊ยนบอกเพื่อนว่า…งั้นมึงก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีก ผลออกมาว่าสองคนนั้นจูงมือกันเข้าม่านรูด



จากกรณีนี้เดี๊ยนได้ข้อสรุปว่าผู้ชายมันเหี้ยเพราะผู้หญิงมันโง่

ผู้หญิง ไทยอาจชินแล้วที่ต้องแย่งผู้ชายกันเองจึงปล่อยให้ผู้ชายมันมีสิทธิ์เหนือเรา ทำไมเราไม่คิดใหม่ว่าเราเท่าเทียมกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้ฟูมฟายร้องขอการดูแลจากใคร…

สุดท้ายคนที่ปล่อยให้ความเป็นธรรมเกิดในสังคมก็เพราะผู้หญิงเราเองนี่แหละ… เวรจริงๆ

ไหนๆก็ด่าผู้ชายไทยมาเยอะแล้วเราลองมาดูกรณีตัวอย่างดังนี้



1. เดี๊ยนโดนผู้ชายไทยขอให้ลดความอ้วน

-ถ้าเดี๊ยนทำตาม และย้อมผมด้วย เดี๊ยนอาจจะกลายเป็นน้องเต้ยสอง ผู้ชายจะได้ใจว่ามันสั่งเราได้ ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลี้ยง

-ถ้าเดี๊ยนไม่ยอม เดี๊ยนด่ากลับ อีควาย มึงเองช่วยไปยืดส่วนสูง ช่วยไปเติมกล้ามท้องให้เหมือน เครก เดวิดหน่อย มันอาจจะรู้สึกบ้าง

ถ้าหาเส้นตรงกลางให้เจอ เดี๊ยนอาจจะลองทำโยคะ ฝึกกายบริหารให้สวยขึ้นก็ได้ จะได้มีสิทธิ์เลือกมากขึ้นอีก

2. เพื่อนเดี๊ยนเจอผู้ชายคบสอง

- ถ้ามันโอเค มันก็เป็นผู้หญิงราคาถูก โดนหิ้วไปตามม่านรูดไม่หยุดหย่อน

- ถ้ามันไม่โอเค ด่ากลับ ไอ้ควาย งั้นกูขอคบทีเดียวสามนะ ตกลงมั้ย เท่าเทียมดี

มี ทางเลือกอื่นมากมายนอกจากการลดราคาตัวเอง เดี๊ยนอยากบอกว่าสินค้าที่มันเคยลดราคา มันขึ้นราคาอีกไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่จะขายแพงเลย ขายราคาปรกติยังไม่ได้

ยิ่งราคาหอยด้วยแล้ว มีแต่จะเน่าเอาเพราะความเก่า! ...เฮ้อ….

3. เพื่อนเดี๊ยนรู้มาว่าแฟนชอบไปอาบอบนวด

- ร้องไห้ ทะเลาะกันสองคืน งอแงตลอด แต่ก็ยอมๆมันไป เพราะคิดว่าผู้ชายหายาก

- ไม่เอา ไม่ให้แตะเนื้อต้องตัว แหวะ! สกปรกโสโครก อย่ามายุ่งกะกู ไปนอนอ่างไป๊

ผู้ชายดีๆมีอีกเยอะ ไม่ลดค่าตัว คิดพลางหาแผนสำรอง

เดี๊ยนไม่อยากให้ผู้หญิงไทยมีฐานคิดว่าเราอ่อนแอกว่า เพราะฐานคิดนี้มาจากเกมการเมืองของผู้ชาย

มัน คลอดลูกไม่ได้ มันทนบาดแผลได้น้อยกว่าเพศแม่ หัวใจมันเต้นแรงกว่า อายุมันสั้นกว่า แค่นี้มันก็อ่อนแอกว่าเราหลายขุมแล้วค่ะสาวๆ มันเองที่คอยใช้ความเชื่อเน่าๆล้างสมองว่าเราอ่อนแอกว่าเพื่อมันจะได้ครอง อำนาจ เราเปลี่ยนความคิดกันได้ ผู้ชายจะได้เหี้ยน้อยลง หัดเคารพเพศแม่มากขึ้น

ขออภัยผู้ชายไทยดีๆหลายๆท่านที่ไม่เคยมีกิ๊ก ไม่โกหกแฟน ไม่เที่ยวผู้หญิง

ผู้ชาย ไทยที่ให้เกียรติผู้หญิงและเชื่อว่าผู้หญิงเท่าเทียมกับตน ผู้ชายไทยที่มีสติปัญญาและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และขอนับถือความกล้าหาญที่ได้สวนกระแสสังคมอันเชี่ยวกรากของชายไทย





เดี๊ยนขอแจกแจง ณ ที่นี้ว่าเดี๊ยนไม่มีความประสงค์จะกล่าวหาใคร เพียงแต่อยากนำความจริงมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น





…………………………………………



เดี๊ยนเอง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ปะ - รินยา”

“ สี่สิบ” หนุ่มน้อยผิวกรำแดดวัยประมาณสิบเจ็ดตอบฉันชัดถ้อยชัดคำ ฉันไม่รีรอรีบยกขาขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์สีเขียวสดคันไม่ใหญ่ไม่เล็กของเด็กหนุ่มซึ่งอาจจะถึงเร็วหรือไม่ถึงเลย
เขาติดเครื่องพาฉันลัดเลาะไปตามซอกระหว่างรถใหญ่ที่จอดกันแน่นถนนราชดำเนิน
ในวันที่น่าจะเป็นวันอันน่าชื่นชมยินดีของใครหลายคน
ถนนกว้างทางแคบแสบผิวหน้า ฝุ่นควัน รถรา ในเมืองหลวงนั้นเสียดประสาทให้ขนลุกซู่ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งร่างกายอาจรู้จักปรับตัวเข้าหาคาร์บอนมอนอกไซด์ด้วยการเป็นมะเร็งปอด ตำรวจจราจรโบกไม้โบกมือให้่สัญญาณอยู่ไม่ห่าง ตำรวจอีกสองสามนายยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อรอเขียนใบสั่งธรรมเนียมส่วยให้แมลงเม่าในเครื่องยนต์เหล่านั้น
ทุกคนบนท้องถนนใช้เงินแลกความเร็ว เหมือนกับฉันที่จ่ายเงินค่ามอเตอร์ไซค์
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง .. ซึ่งขณะนี้เป็นวีรบุรุษของฉันแม้คนขับรถอื่นๆจะเห็นตรงข้าม

อันความเดือดร้อนนั้นถ้าเราเพียงมองหรือเป็นคนกระทำเสียเองก็สนุกดี!

ฉันมองนักศึกษากลุ่มหนึ่งในรถเมล์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล คันนี้ถูกสตัฟฟ์ไว้ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วและไม่มีทีท่าว่าอะไรจะกระดิกยกเว้นเท้าของคนในรถและนิ้วมือของคนขับที่ห้อยออกมาเคาะกรองทิพย์ ขี้เถ้าจากปลายบุหรี่ค่อยๆตกลงสู่พื้นถนนพร้อมกับเศษไส้กรองที่เหลือ
หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันบี้ก้นบุหรี่ด้วยล้อเล็กๆแล้วก็ลัดเลาะช่องแคบนรกเพื่อแสวงหาหลืบรู
สู่สถาบันการศึกษามหามงคลที่เชื่อกันว่าใครเข้าไปเรียนได้นั้น “ สุดยอด ” แบบไม่มีข้อกังขา
จะมีได้อย่างไร ก็ใครๆเขาเชื่อแบบนั้นและไอ้คำว่า “ใครๆเขา” ที่แม้จะไม่มีใครรู้มีกำพืดมาจากไหนก็ได้กล่อมเกลาสังคมให้เชื่อแบบนั้น โดยมีหลักฐานยืนยันจากรายนามบุคคลสำคัญในรัฐสภาซึ่งมักจบจากสถาบันนี้ ไม่ก็อีกสถาบันซึ่งเป็นเสมือนคู่รักคู่แค้น บังเอิญฉันมันโง่หรืออย่างไรที่เลือกจะเรียนอะไรก็ได้แต่ไม่เอา ดันริอ่านจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา สาขาอะไรก็ไม่รู้ที่คนแถวบ้านไม่ยักนิยม …..มานั่งนึกๆไปจะคุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิดูคนเขาชูคออวดตรายศตราศักดิ์ปักป้ายปริญญาเดินเยื้องย่างอย่างอวดองค์
นักศึกษาในรถ
เมล์คันเมื่อกี้ก็กำลังเดินทางไปที่เดียวกันเป็นแน่ เพราะถือของฝากสารพันที่สรรหามาเป็นกระบุง
ความดีใจของมนุษย์นั้นหลายๆครั้งก็เข้าใจได้ยาก และฉันเองกว่าจะดีใจอะไรได้จริงๆสักทีก็ต้องหาคนช่วยดีใจ หรือเข็นให้ดีใจนับสิบเพราะใจจ้องจับผิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ร่ำไปตามประสาสิ่งมีชีวิตมากเรื่อง - เอ้อ - เรื่องมาก!

ไอ้หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันมาหยุดลงตรงหน้ามหา’ลัย …
“ พี่ๆ ถึงละ สี่สิบ”
“ เออ กูรู้ ” ฉันตอบในใจเพราะหงุดหงิดจากอุณหภูมิระอุ ลึกๆนึกขอบคุณไอ้น้องที่มาส่งด้วยค่าแรงแสนถูก
(คำนวณจากทักษะซึ่งประกอบด้วย วิสัยทัศน์อันกว้างไกล ความรู้เชิงภูมิศาสตร์ ความกล้าหาญ ความด้าน-หน้า)
นี่ยังไม่รวมค่ารถ ค่าน้ำมันอีก ฉันควักแบงค์ห้าสิบให้หนุ่มน้อยคนนั้น
“ ไม่ต้องทอน” ฉันยิ้มแล้วเดินเข้าประตูมหา’ลัยไป เขาตะโกนขอบคุณไล่หลังเต็มเสียง ฉันอดคิดไม่ได้ว่าไอ้นักศึกษามหา’ลัยสูงส่งเหล่านี้มันจะมีความคิดแบบไอ้น้องมอเตอร์ไซค์ที่เห็นบุญคุณลูกค้าแบบนี้ไหม ลำพังเงินภาษีพ่อแม่ของพวกเอ็งนั้นไม่พอค่าเรียนหรอก
ตอนเรียนอยู่ก็เดินไปเดินมา คนที่เรียนจริงเรียนจัง กิจกรรมเด่น เก่งทุกด้านนั้นก็พบมาก
แต่เวลาเข้าสู่วงเหล้าต้องเผลอพูดจาดูถูกเหน็บแนมสถาบันอื่นทุกคราไป เรื่องดูถูกชาวบ้านละยกให้ เดี๋ยวคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็โง่
คำก็ “ไร้การศึกษา” สองคำก็ “บ้านนอก”
ไร้การศึกษากับบ้านนอกมันไม่ดีตรงไหน และไอ่้เด็กชาวกรุงบ้าฝรั่งทั้งหลายมันประเสริฐกว่าใคร?

ฉันเป็นพวกชอบแสวงหา
แต่ยิ่งหาคนเก่ง ประวัติเยี่ยมที่ไม่นึกดูถูกใครนั้นก็ยิ่งพบว่าน้อยกว่างมเข็มในมหาสมุทร
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ฉันเองก็เป็น เป็นมากเสียด้วย มิฉะนั้นคงไม่แอบหมั่นไส้เพื่อนพ้องของตัวจนเอามาเขียน
งานรับปริญญาก็ไม่ค่อยต่างจากงานที่คนพบปะกันเพื่อที่จะมารินยารินเหล้าฉลองอะไรก็ไม่รู้
ชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล ที่ฉันมาวันนี้ตั้งใจจะมาพบปะเพื่อนฝูงก่อนจะลาไปตลอดกาลสู่โลกที่ตัวเองอยู่
ตั้งใจจะมาปะ มารินยาให้เพื่อจะบอกว่า … “
รินเพื่อลาชีวิตความเป็นเด็กของตัวเองและก้าวสู่การเดินบนลำแข้งให้ได้อย่างเป็นสุขและสวยงามนะเพื่อนๆ”


ประตูหน้ามหา’ลัยฝั่งสนามหลวงนั้นสวยงามจนบอกไม่ถูก สวยและนิ่งจนฉันอยากจะร้องไห้
ความทรงจำเก่าๆที่เคยร่ำเรียน ณ สถาบันแห่งนี้ย้อนกลับเข้ามาให้รำลึก
เป็นความทรงจำยุคตัวหนอนที่ยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ลึกๆก็เชื่อว่าตัวเองเป็นผีเสื้อที่จะโบยบินสู่ฟ้ากว้างอย่างสวยงามตามวิถีที่สร้างเอง
เป็นความฝันแบบเด็กวัยรุ่นที่กรุ่นกลิ่นความสด ความหวังพลังฝัน ซึ่งบัดนี้ได้ก่อตัวเป็นความจริงตามสมควร

ฉันทิ้งหัวใจของตัวเองไว้ที่นี่ … ณ ลานสีเขียวซึ่งเคยมองว่ากว้าง
ณ ตึกกิจกรรมอันเคยมาพำนัก มาหัวเราะ ร้องไห้ และหลากอารมณ์ประสาวัยรุ่น
ฉันพยายามกดเครื่องสี่เหลี่ยมแบนๆหาเพื่อนหลายรอบแต่สัญญาณล่มไม่เป็นท่า มือซนๆจึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพขณะเดินสำรวจพฤติกรรมมนุษย์รอบอาณาบริเวณ
เจอคนรู้่จักก็แวะทักทาย ถ่ายรูป จูบลาหน้าหลังอย่างกับคุ้น มีทั้งคุ้นจริง คุ้นเทียม เกือบคุ้น มีแม้กระทั่งคนที่ถ่ายรูปคู่กันไปหลายรูปแล้วนึกให้ตายก็ไม่ออกว่าเป็นใคร
เพื่อนๆที่คณะเดิมสวมชุดครุยสีดำแถบทองอย่างสง่างาม คำทักทายเป็นมิตรอย่างเคย รอยยิ้มเปื้อนหน้าและความเรียบง่ายแบบเดิมๆนั้นน่าชื่นชมดี เพราะไม่มีใครมีช่างกล้องที่จ้างมาเฉพาะ มีแค่เพื่อน หรือคนรู้จักที่อาสาถ่ายให้ เสื้อผ้า หน้าผมก็แต่งกันเองอย่างมืออาชีพ
ฉันว่าคนเราควรใช้เงินให้สมฐานะ และไม่น่าจะห่วงด้านนอกมากกว่าด้านใน หรือสนใจพิธีการมากกว่ากระบวนการ
แต่พอเล่าเนื้อคิดเหล่านี้ให้ใครฟังเขาก็ลงความเห็นว่าไอ้ฉันมันหัวนอก
คำว่า “ สนใจกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ” นั้นเป็นลักษณะหนึ่งของความคิดแบบ “ โพสต์โมเดิร์น ”
“ใน มากกว่า นอก” นั้นก็พวก “ ซ้ายจัด ” ซึ่งไอ้ทั้งสองประการมันก็มาจากประเทศแถบตะวันตกอยู่ดี และไอ้ฉันเองที่ไปกล่าวหาชาวบ้านว่าเห่อฝรั่งนั้นก็คงพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะสมองของฉันโดนฝรั่งย้อมไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ส่วนไอ้เพื่อนๆที่บ้าเครื่องสำอางค์หรือกระเป๋าต่างชาติตลอดจนสื่อเกาหลีนั้นยังคิดอะไรในระบอบไทยเดิม
มากกว่าฉันซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนไทยแท้ๆอีก … จบบทสนทนาตรงที่ว่าเราแย่งกันว่าใครไทยกว่า

ฉันและเพื่อนอีกสองคนซึ่งล้มเลิกการโทรศัพท์หากันแต่สุดท้ายก็มาพบกันโดยบังเอิญนั้น
เดินกระเตงสังขารกันไปๆมาๆ เบียดคนเรือนหมื่น ต่อคิวซื้อน้ำ กางร่ม ข้ามเสมหะ ข้ามขยะ ถ่ายรูป
ต่อคิวเข้าห้องน้ำเพื่อ “โบ๊ะ” หน้าไม่ให้มันแผล่บ
ไอ้คำว่า “ ในมีดีกว่านอก” นั้นใช้ไม่ได้หรอกสำหรับวันนี้
ลืมบอกท่านผู้อ่านไป ว่านอกจากฉันจะเป็นนักแสวงหาแล้วยังเป็นนักเล่าเรื่องและนักปากว่าตาขยิบตัวยงด้วย!

ของที่ฉันใช้เป็นของนอกทั้งสิ้น มือถือจากฟินแลนด์ เสื้อเมดอินมาเลย์เซีย เครื่องสำอางค์เพิ่งซื้อจากอเมริกา เครื่องประทินผิวส่วนใหญ่เป็นของสวิสเซอร์แลนด์ จะมีของไทยบ้างก็ไม่มาก
ไม่ได้จะอวดร่ำอวดรวยประการใด แค่จะบอกว่า ฉันไม่ได้นิยมไทยอย่างที่ปากพร่ำพูดหรอก…
แต่จะหาข้ออ้างให้ตัวเองสักหน่อยว่าที่ซื้อมาก็เลือกเฉพาะตอนลดราคาหรือฝากเพื่อนซื้อจึงได้ราคาถูกเกินครึ่งถ้าเทียบกับซื้อที่นี่
ฉันมองว่าคนไทยไม่ได้อยากจะนิยมของนอกเพราะอยากนิยม เพียงแต่ไม่มีสินค้าไทยที่ตอบความต้องการของเขาได้มากเท่า

ฉันใช้หลักกาลามสูตรกับทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นมนุษย์ไม่สังคมโลกมาระยะหนึ่ง
คือเลือกเฟ้นแค่บางคน และบางคนที่สุงสิงก็พึ่งพิงเพียงบางระยะ ไม่ได้จะเชื่อสิ่งใดสนิทแน่ทีเดียว
พักหลังคิดได้ว่าเราเริ่มไม่สายกลางสักเท่าไร พระพุทธองค์คงไม่ได้ตั้งใจให้คนเบื่อโลก ไปบวชหรือทดลองทุกสิ่งเองกันหมด ขืนใช้หลักกาลามสูตรลองเครื่องสำอางค์ทุกยี่ห้อคงได้แผลเหวอะหวะ ไม่ก็แพ้สารเคมีบางตัว
อย่างน้อยๆสิ่งที่ได้คือกระเป๋าบางลงทันตาเห็น

ฉันและเพื่อนๆเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังหอประชุมเพื่อรอเพื่อนรักของฉันอีกคนซึ่งอันที่จริงเป็นคนรักเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย
กระทั่งมาเลิกกันตอนจบเทอมหนึ่งปีหนึ่ง ณ รั้วริมสนามหลวงแห่งนี้
เรื่องรักของเด็กๆมันก็ตลกดี สมัยก่อนเราหัวเราะ ร้องไห้ สรวลเสเฮฮากันตั้งมากมาย
เหมือนกับเชื่อจริงๆว่าเราเกิดมาคู่กันและต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงเวลาแยกก็ต้องแยก
เหมือนกรรมการเป่านกหวีดว่าหมดเวลา ต้องไปแล้ว ต่างคนต่างงงทำอะไรไม่ถูก ตีโพยตีพายกันพักใหญ่ เราทั้งคู่จมอยู่ในกระแสฮอร์โมนซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นรัก ถึงเวลาเจอกันวันนี้เขามากับแฟนใหม่ส่วนฉันมากับเพื่อนๆ
เราก็มองหน้ากัน ยิ้มให้กันแบบเพื่อนที่แสนดี ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็แยกทางกันไปตามเรื่องตามราว
แฟนใหม่เขามองหน้าฉันเหมือนรู้ว่านี่ใคร ฉันยิ้มให้เขาก็ยิ้มตอบ ฉันบอกไอ้เพื่อนยากคนนี้ตลอดว่าถ้าเจอความรักดีๆอย่าเผลอทำแบบที่แกทำกับฉันนะโว้ย…
มันก็ตอบแบบกวนตีนหน่อยๆแล้วก้มหน้าหลบสายตาตอบว่า “ เออ กูรู้” หน็อยแน่ไอ้ตัวแสบ!

ฉันแหวกฝูงชนเดินสวนคนโน้นคนนี้
มีเพื่อนชายบางคนที่เคยคบจนสนิทและบัดนี้เมื่อต่างคนต่างสบตากันก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นโดยอัตโนมัติ
สงสัยมนุษย์คงมีสัญญาณดีกว่าเรด้าร์คอยแยกแยะว่าอะไรดี อะไรร้ายอยู่ในซอกความทรงจำ
ไอ้ฉันเองตอนอยู่แถวนี้ก็ประพฤติตัวไม่งามสักเท่าไร แม้ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็แหกกฏคณะทุกอย่าง ข้อที่เขาบังคับใส่กระโปรงยาวกรอมเท้า ข้าพเจ้าก็ใส่สั้นสามนิ้ว ไม่มีโรคจิตมาตามตื๊อก็ให้รู้ไป

เราสามคนเดินไปซื้อข้าวทางประตูหลัง สุดท้ายได้ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมาสองกล่อง แอบไปนั่งกินกันบนตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ในห้องแอร์ที่คนนอกไม่รู้และไม่เข้า เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนชอบเพราะรู้สึกว่ามี “ อภิสิทธิ์ ”
ใครๆก็ชอบมี ….ไม่จริงหรือ?
ไม่มีใครอยากเท่าเทียมกับคนอื่นหรอก แม้จะบอกว่าสงสารคนนั้นคนนี้ อยากช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ลองเป็นอย่างเขา หรือเกิดในสภาพอย่างเขาคงไม่มีใครอยากเป็น ทุกคนอยากร่ำรวย ดีเด่น
ฉันเห็นไฟแห่งความฝันโชติช่วงในดวงตาของเหล่าบัณฑิต พวกเขาอยากดีกว่านี้ มีเงินมีทองใช้ สบายกว่านี้
หลายๆคนอยากมี “ อภิสิทธิ์” …. อย่างน้อยๆก็ในที่ที่ตัวเองอยู่

ก๋วยเตี๋ยวหมดไปสองกล่อง .. คนเริ่มเข้าห้องลับของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราเผลอใช้คำว่า “ ของพวกเรา ” แล้วเดินออกจากห้องทั้งๆที่มันเป็นห้องของมหาวิทยาลัย

ซึ่งได้่เงินมาจากภาษีประชาชนและอุปการะคุณจากบรรดาศิษย์เก่า ฉันขมวดคิ้วแล้วคิดว่าทำไมฉันเห็นแก่ตัวอย่างงี้วะ?
ฉันโยนขยะทิ้งลงถังซึ่งกำลังจะล้ม เคราะห์ดีที่เห็นแม่บ้านเดินผ่านมาเลยทำตนเป็นคนดีไปบอกให้เขารีบเอาถุงมาเปลี่ยน อีเรื่องแค่นี้ทำให้ว่าที่บัณฑิตดีกรีนอกผู้เก่งการงอมืองอตีนรู้สึกเป็นคนดีขึ้นนิดหน่อย
ทั้งๆที่มันไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย…. เอ๊ะอีนี่!

เพื่อนฉันสองคนหยิบธนบัตรออกมาซื้อพัด
ซื้อที่เดียวสามอันเพราะรุ่นน้องคณะเดียวกันกับพวกหล่อนเป็นคนขาย …เปลืองทรัพยากรเปล่าๆ
รายได้จากการซื้อพัดจะนำไปช่วยเด็กยากไร้ที่ไหนก็ไม่รู้ อย่างไรก็ไม่รู้
อีสหายสองตัวก็รัวพัดยิก ฉันเลยหันไปถามอีน้องนางคนขายที่กำลังจะเดินจากว่า
“น้องคะ .. ช่วยเด็กนี่ช่วยยังไงเหรอคะ” ….. อีน้องนางทำหน้าครุ่นคิดแกมพิศวง ตอบเป็นใจความได้่ว่า
เงินที่ได้จะนำไปสมทบทุนสร้างโรงเรียนให้เด็กยากไร้ที่ต่างจังหวัด
ฉันคิดต่อไปอีก ว่าเวลาสร้างแล้วจะมีครูเหรอ แล้วถ้าสร้างเสร็จปล่อยรกร้างไม่มีคนดูแลวันใดวันหนึ่งอาจจะมีฆาตกรติดยาไปซ่อนตัวอยู่แล้วลากเด็กไปฆ่า
ถ้าไอ้กรณีนี้เกิดขึ้น การซื้อพัดสามอันจะเป็นบาปมหันตร์ทางอ้อม
วิธีคิดแบบนี้เอง สหายหลายสัญชาติมันพากันเรียกฉันว่า “ มิสก็ไม่แน่”
ฉันมักจะพูดว่า “ ก็ไม่แน่นะ… สมมติว่า…”
พอพูดจบทุกคนก็เข้ากลุ่มประชุมวิตกจริตหาวิธีนู่นนี่เพื่อวางแผนงานให้รัดกุม เพื่อกระทำการสารพัดอื่นๆต่อไป
“มิสก็ไม่แน่” คนนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเพราะมักคิดสมมติเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียวตลอดเวลาและไม่ทำอะไรจริงจังสักที

กลับมาเข้าเรื่องพัดกันต่อ …
วันรับปะรินยานี่เป็นวันของพัดและญาติๆพัด อันได้แก่ ญาติกิตติมศักดิ์(ช่อดอกไม)้ ญาติฝ่ายแม่(ตุ๊กตา)
ญาติฝ่ายลูกตำรวจ(ป้ายทะเบียนปลอม ประทับตรา จบ 2550 อะไรก็ว่าไปตามปีจบ) ญาติฝ่ายเสบียง (อาหารทั้งหลาย) สรุปว่าเป็นวันที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมากที่สุด นี่ยังไม่รวมรายได้ที่ร้านรูปจะได้รับ รายได้ที่กระจายไปสู่ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่น
ร้านตัดสูท ตัดเสื้อไหมวิไลวรรณพรรณรายประกายเพชรเจ็ดสีอะไรก็ตามแต่

สุดท้ายที่ไม่สามารถละเว้นได้่เลยคือ
ห้่างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งขายอุปกรณ์ทุกชนิด อาทิ โปรแกรมช่วยตัดแต่งตัดต่อภาพถ่าย ซีดีเปล่า อุปกรณ์กล้อง
จนกระทั่งเพลงประกอบซีดีวันรับปะรินยาซึ่งมีคนทำกันจริงๆ
เวลาบ่ายสามกับอากาศร้อนสุดขีดกลางเมืองหลวงบ้าบิ่น
ฉันจับพัดที่เพื่อนสาวซื้อให้มาพัดวีหน้าตัวเองที่กำลังเลอะเหงื่อไคล …
เหงื่อออกจนชาวบ้านสามารถเห็นรอยเสื้อชั้นในฉันได้่จากระยะสามสิบเมตร แม้ความจริงไม่มีใครเห็นเพราะเบียดกันจนตัวติดฉันก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ดี
เมื่อเดือนที่แล้วไปรับปริญญาเพื่อนที่คิงส์คอลเลจไม่เห็นเป็นอย่างนี้ … ไม่มีอะไรขายเลย และรถก็ไม่ติด
ไม่มีประกาศในวิทยุเลยแม้สักคลื่น เข้าหอประชุมแล้วก็เสร็จ ถ่ายรูปรวมแล้วก็จบ หลายมหาวิทยาลัยรับปริญญาบริเวณโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ซึ่งเทียบความสำคัญน่าจะเท่ากับวัดพระแก้วบ้านเรา ก็ไม่เห็นมีการแห่ขบวนเสียใหญ่โตหรือจัดพิธีซ้อมกันหลายรอบ
สรุปง่ายๆว่าคนไทยห่วงภาพพจน์จนเป็นวัฒนธรรม

ตกเย็นคนเริ่มซา เช่นเดียวกับฝน เพื่อนคนหนึ่งลากลับบ้านไป ฉันจึงได้โอกาสเกาะเพื่อนที่เหลืออยู่ไปรินยากับบัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์อีกสองนาย เรานั่งรถออกจากสนามหลวงและช่วยกันคิดว่าจะกินอะไรดี รถยนต์ที่เพื่อนสาวขโมยมาใช้เมื่อไม่มีใครอยู่บ้าน แล่นไปติดไปตามทาง ร้านรวงย่านนั้นก็เต็มหมด เราดิ่งไปสยาม(อีกแล้วหรือ) ประหลาดที่รถไม่กล้าติดอีก
คงเป็นเพราะมันติดตอนบ่ายจนสนองตัณหาเทพเจ้าทางหลวงไปเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งรถผ่านร้านมาก ตัวเลือกก็ยิ่งมาก ยิ่งคนมาก ก็ยิ่งคุยมาก และยิ่งทำให้หิวมาก
สุดท้ายเรานั่งกินสุกี้กันที่ร้านใกล้โรงเรียนเก่าฉัน ร้านนี้สมัยนั้นฉันยังไม่เคยกล้ากินเพราะท่าทางแพง
ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้องเดินทางรอบโลกเพื่อที่จะ “กล้า” กินร้านที่อยากกินมานาน
เราสนทนากันไปเรื่อย .. สี่คนที่พูดภาษาเดียวกันคุยกันได่้ลื่นไหล ชายหนุ่มซึ่งนั่งตรงข้ามสั่งไวน์มาดื่ม
ฉันสั่งค็ิอกเทล เพื่อนสาวของฉันและบัณฑิตใหม่อีกคนสั่งวิสกี้ เมื่อเหล้าหมดแก้วทั้งสี่ เราก็สั่งไวน์แดงมาทั้งขวด

“ เรียนจบแล้วจะทำอะไร ”
ฉันถามชายตรงหน้าแล้วยกแก้วขึ้นชนกับเขา
“ งาน.. ขอเงินซัก สองสามหมื่นต่อเดือนเท่านั้นแหละ ” เขาตอบ อีกสองคนที่เหลือพยักหน้า
“ ..ง่ายจะตายแก เผลอๆได้่มากกว่านั้นอีกนะ เกียรตินิยมหนิ” เพื่อนสาวของฉันกล่าว
“ ตอนนี้เศรษฐกิจฝืดว่ะ ..กูไปขายน้ำมันดีกว่า” ชายอีกคนเสริม พลางทำไม้ทำมือ
“ กูไม่อยากจบเลยมึง.. โหวงสัตว์ๆ” เจ้าของเกียรตินิยมพูดขึ้น
“ กูอยากจบ… สบายตายห่า มึงคิดดู วันๆมึงนั่งเล่นเกม หรือไม่มึงก็ทำเว็บไรก็ได้ ขายของ ของห่วยๆเลยนะเว่้ย
กูเห็นเงินลอยมาเรื่อยๆ” เขายักคิ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ กูว่ากูหางานทำก่อนดีกว่าว่ะ.. แล้วพอรู้แนวค่อยไปต่อ” ชายหนุ่มตัดรำคาญท่าทางมั่นใจของเพื่อน

จนแล้วจนรอดก็ต้องวนมาถึงหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตซึ่งทุกคนต้องทำหน้าเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคราก็มีบางคนแสดงสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด

“ แกจะทำไรวะ ” เพื่อนสาวคนสนิทถามฉัน
“ หา.. เออ มีแต่คนถาม ถามตั้งแต่กูไปแล้ว กูว่ากูคงอยู่แถวนั้นแหละ ถ้ากลับไทยกูแดกแกลบพอดีมึง เพื่อนกูก็ไม่มี เด็กมหาลัยมึงเอางานไปแดกหมด” ฉันตอบแล้วกระดกแก้วไวน์
“ ขี้เกียจหางาน ” ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจอีกระลอกแล้วยกไวน์ขึ้นจิบ
“ ทำไมวะ .. ” เพื่อนชายของเขาถามนิ่งๆ
“ ก็… กูว่ากูชอบเรียน กูหาเรื่องเรียนโทดีกว่า เอาไว้ยืดเวลาเป็นเด็ก มึงว่าดีมั้ย”
เขาพูดพลางพับปกเสื้อเชิ้ตให้เข้าทรง ยกไวน์ขึ้นจิบอีกที

บังเอิญว่าความคิดของฉันต่างจากของเขาโดยสิ้นเชิงฉันจึงไม่กล่าวอะไรอีก
ไวน์เหลืออีกครึ่งขวด ทุกคนลงความเห็นว่าให้ฉันนำกลับบ้านเพราะท่าทางกินไวน์เก่ง …
ไม่หรอก พวกมันที่เหลือแค่ไม่มีปัญญาถือกลับ พวกเราทั้งสี่นั่งรถของยัยเพื่อนสาวชาวกรุงกลับบ้าน เธอปล่อยสองหนุ่มลงที่รถไฟฟ้า
ฉันเห็นเงาประหลาดจากร่างของเขาทั้งคู่ที่พื้น
เมื่อเพื่อนสาวส่งฉันกลับบ้านโดยปลอดภัยแล้ว
ภาพเงาของชายหนุ่มทั้งสองก็ยังตามมาหลอกหลอนหลังจากกลับบ้าน
ฉากที่น่ากลัวนั้นมีชายหนุ่มวัยยี่สิบสองสองคนถือตุ๊กตุ่นตุ๊กตาลงจากรถแล้วโบกแท็กซี่
ที่พื้นปรากฏเงาแปลกๆ …
เป็นภาพชายหนุ่มกับเด็กชาย เปลี่ยนสลับไปมาในเงาเดียว


ปีหน้าใต้รอยเท้าฉันจะมีเงาแบบนี้ไหมนะ?

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Fine Art : มายาคติควายอาร์ต

ควายอาร์ต หรือ วิจิตรศิลป์นั้นแปลเป็นไทยให้ตรงเป๊ะน่าใช้คำว่า ละเมียดศิลป์ ซึ่งผู้ชมเองก็ต้องละเลียดชม ห้ามยกซดเด็ดขาดมิฉะนั้นจะไม่รู้เรื่อง... วิจิตรศิลป์คือศิลปะที่ปราศจากประโยชน์ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นภาพ2มิติ งาน3มิติ หรือ 4มิติ ....กล่าวคือ มีไว้ดู มีไว้จับ เพื่อจรรโลงใจล้วนๆ หาใช่เพื่อนำมาเป็นสาธารณูปโภคไม่
ในสมัยหลายร้อยศตวรรษที่แล้วจิตรกรมีหน้าที่หลักคือวาดรูปเหมือน หรือปั้นรูปเหมือน เพราะไม่มีกล้องถ่ายภาพ จิตรกรดังหลายท่านวาดภาพ คน สัตว์ สิ่งของ เพื่อความสำราญของตนและสังคม สถานภาพทางสังคมของจิตรกรอาจเทียบได้กับผู้กำกับหนัง หรือ ช่างภาพ ในปัจจุบันซึ่งมีบุคลิกเซอร์ๆ บางครั้งสกปรก หน้าม่อ และหลงตัวเอง บางคนที่มีบรรดาศักดิ์ที่สูงหน่อยก็อาจเรียกได้ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงกันเลยทีเดียว

ความเชื่อที่ว่าควายอาร์ตเป็นของสูงและบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นเกิดขึ้นจากแถบยุโรปและเมืองจีนพร้อมๆกัน ในยุคที่ผู้มีเงินซื้อศิลปะชั้นเลิศจะมีเพียงชนชั้นนำของสังคม ชนชั้นรองๆลงมาก็เสพย์ได้เพียงศิลปะข้างถนน หรือ การแสดงจำอวด แม้เมื่อยุคสมัยดังกล่าวหมดสิ้นลงความคิดแยกแยะประเภทศิลปะตามชนชั้นวรรณะของผู้เสพย์ไม่ได้เลือนหายไปด้วย คำว่า Fine Art จึงขึ้นแท่นเป็น Pure Art หรือ ศิลป์บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครกล้ากังขา
ส่วนศิลปะอีกแขนงที่เดินตามมาจนกลายเป็นไฮโซ ณ ปัจจุบันคือ Fashion ซึ่งก็มาจากในพระราชวังฝรั่งเศสอีกนั่นแหละ!
ด้วยเหตุนี้เองการละคร การดนตรี ผลิตภัณฑ์ หรือ ศิลปะสิ่งพิมพ์กลับกลายเป็นสิ่งฝั่งอนุรักษ์นิยมมองว่าไม่ Fine ไม่ควาย..ไม่ละเมียด เพียงเพราะกำเนิดขึ้นนอกรั้ววัง เราอาจไม่รู้ตัวว่าเราซึบซับวัฒนธรรมทางความคิดดังกล่าวไปแล้วผ่านการปลูกฝังในครอบครัว การเชื่อตามๆกันมา หรือการบอกเล่าของครูสอนวิชาวิจิตรศิลป์ซึ่งย่อมยกหางตัวเองโดยอัตโนมัติ

เคยมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอังกฤษคนหนึ่งตั้งข้อกังขาว่า ... หากเราอยู่ในยุค Post Modern จริง เหตุไฉนความคิดเราจึงยังติดกรอบของมนุษย์ยุควิคตอเรียน... ค่านิยมใดที่ยุคนั้นชื่นชอบหรือสาปส่งเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรื่อยไป นักเขียนคนดังกล่าวเอ่ยถึงแม้ค่านิยมเรื่องโสเภณี ซึ่งได้ค่าตัวสูงลิบและมีการกินยาป้องกันโรคติดต่อ... หล่อนใช้ชีวิตบนหอคอยงาช้างเยี่ยงนางแบบ FHM ในยุคเรา
โรงแรมห้าดาวยังใช้โคมไฟระย้าแบบวิคตอเรียน ม่านแบบวิคตอเรียนยังเป็นทัศนภาษาของความมีระดับ
ชี้แจงดังนี้แล้ว.. เราๆท่านๆอยู่ในยุคไหนกัน... หากยังจัดชนชั้นแม้ประเภทของศิลปะโดยอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเผลอมองงานผ่านกำพืดของมัน ไม่ได้มองชิ้นงานจริงๆ ...

เราอาจมองข้ามสาร โดยการตัดสินด้วยสื่อ วิธีการมองแบบนี้อาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ สุนทรียะ

เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือการผลักดันแบบคีช?

เมื่อไม่นานมานี้คนไทยเราคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่าเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy ซึ่งได้รับการผลักดันจากกระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายง่ายๆหากใครคิดตามไม่ออกก็คือการทำสินค้าเชิงสร้างสรรค์ออกมาขาย คำว่าสร้างสรรค์นั้นแตกต่างจากสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ต้องมีอะไรใหม่ ไม่ต้องประดิดประดอยเกินงามหรือใช้เทคโนโลยีสูง อะไรก็ได้ง่ายๆ ทำเองได้ น้อยชิ้นก็ได้ มีกำลังผลิตมากทำได้มากก็ตามสะดวก องค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนี้ก็หนีไม่พ้น TCDC ศูนย์การออกแบบ ตั้งแอบๆอยู่ที่ชั้นหก ณ ห้างเอ็มโพเรี่ยม ติดกับโรงภาพยนตร์ราคาแพงนั่นเอง

Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”

ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย

งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ

การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...


สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน