วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

Customization:อัตตาย้อนศร

คำว่า Custmomization นั้นขึ้นมาผงาดอยู่ในวงการการออกแบบและการค้าตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นช่วงยี่สิบปีมานี้เอง เนื่องจากการกระหน่ำยิงของวงการอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้มนุษย์ใช้สินค้าคล้ายๆกัน หลายอย่างที่อุปโภคบริโภคก็หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ!
มนุษย์ยุคเราสามารถตั้งกระทู้ในพันธุ์ทิพย์เกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องเดียวแล้วมีคนอีกสองแสนเข้ามาลงความเห็นและคุยเรื่องเดียวกันได้รู้เรื่อง เลยเถิดไปถึงใส่อารมณ์ด่าพ่อล่อแม่กัน... ก็ไม่แปลกในยุคนี้ แต่หากมองในมุมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ห้าคงเป็นเรื่องผิดวิสัยไม่น้อย

ย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม คำว่า Custom Made หรือสั่งทำเฉพาะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีโรงงานที่สั่งเสื้อทีละร้อยตัวแล้วได้วันนี้ ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ที่เร่งได้ถึงห้าร้อยคันต่อวันอย่างในปัจจุบัน เสื้อหนึ่งตัวต้องเข้าร้านไปวัดและตัด โต๊ะเครื่องแป้งต้องสั่งทำ
ในประวัติศาสตร์ไทยเองก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ เช่น เรื่องราวของถ้วยชามสังคโลกที่มีลายชัดเจนแต่ไม่เหมือนกันสักชิ้น ถ้วยเบญจรงค์ที่สามารถสั่งช่างให้วาดตามต้องการได้ ข้ามไปถึงฝั่งยุโรปที่มีการสั่งทำตู้ ทำเครื่องประดับโดยเฉพาะ เหล่านี้ล้วนจัดเป็น Customization หรือที่เราๆท่านๆเข้าใจกันในปัจจุบันว่าคือการทำสินค้าพิเศษเป็นรายๆไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนใคร

ท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเกิดจากการที่ความต้องการน้อยกว่ากำลังผลิต ปัจจุบันนี้เราผลิตได้เกินความต้องการ ส่งผลให้เกิดลัทธิบริโภคนิยมจนจำเป็นต้องมีวงการโฆษณาที่ฉันทำงานอยู่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มุมน่าคิดคือมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองนั้นกลับไปสู่สิ่งที่คนยุคร้อยกว่าปีที่แล้วไม่มี!

นั่นคือการใช้สินค้าซ้ำๆกันค่อนโลก

เพื่อย้อนศรกลับไปสู่ที่เดิมที่เราเคยยืน การนำอัตลักษณ์คืนมาย่อมเป็นเรื่องขาดไม่ได้ และเพื่อทำให้วงจรการค้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกจึงมีคำโฆษณาโปรยไว้เกร่อว่า “สู่ความเป็นตัวคุณ” หรือ “Be yourself” ก้าวสู่การผลักดันให้ฝูงชนบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ด้วยตัวเองซึ่งอีกนัยหนึ่งอาจเป็นการซื้อสินค้าที่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ! อาทิ โต๊ะพับได้ของ IKEA ซึ่งต้องนำมาต่อเองและทาสีเอง มีป้ายข้างกล่องว่า
“Be yourself, be creative”
เออ … แล้วกูจะซื้อไปทำไม?






การดื่มโค้ก ดื่มเป๊ปซี่ซึ่งเน้นความเป็นอิสระ เต็มที่กับชีวิต สดชื่นแก้กระหายหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคฉลาดขึ้น ตรงข้ามการเสพย์แบรนด์ตามความเคยชินอาจทำให้ท่านไม่เต็มที่กับชีวิตเพราะเป็นเบาหวานหรือโรคกระเพาะ และแน่นอนว่า Coke เองก็เป็นเครื่องดื่มแรกที่มี Limited Edition เพื่อให้ผู้สะสมรู้สึกพิเศษ!

Brand ดังทั้งหลาย เช่น Louis Vuitton, Gucci ฯลฯ นอกจากมีสินค้าตอแหลออกมาจำหน่ายในราคาไม่ย่อมเยาหนำซ้ำยังมีคนนำไปก็อปจนเกร่อแล้ว ยังมีการนำ Limited Edition ออกมาเสนอไปอย่างนั้น บางรุ่นก็นำเสนอว่า สามารถสั่งสลักชื่อบนตัวกระเป๋าได้ Customise ได้!
นี่เองคือการย้อนศรสู่สิ่งที่เป็นสามัญเมื่อร้อยปีที่แล้ว เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่ในอีกมุมมอง
สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยคือการหาพื้นที่ยืนในสังคม แม้คนสมัยก่อนจะไม่ติดยี่ห้อหราเหมือนยุคเราแต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Brand ไม่มีตัวตน แบรนด์ของคนสมัยก่อนอาจเป็นเสื้อร้านชาแนลซึ่งยังไม่ติดยี่ห้อ หรือกระเป๋าหวายจากถนนเฉลิมกรุง ซึ่งของส่วนใหญ่นั้นสั่งทำพิเศษอยู่แล้วจึงไม่ต้องสร้างคำว่า Customization ขึ้นเพื่อโฆษณา การสร้างอัตลักษณ์ของคนสมัยก่อนอาจอยู่ที่การมีรถขับเพราะคนอื่นใช้สามล้อถีบ หรือเพียงแค่การมีวิทยุฟังในบ้านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

สังคมยุคปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ยึดติดยี่ห้อ คนเหล่านี้รวมถึงฉันเองก็มักจะชื่นชอบ Muji แบรนด์ญี่ปุ่นที่นำความไม่เป็นแบรนด์มาเป็นแบรนด์ได้! หรือพูดจาประสาพุทธคือการนำอนัตตามาเป็นอัตตา ซึ่งก็เป็นการย้อนศรอีกตลบและก็ตบมาเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการอีกนั่นแหละ!

คนเราจะซื้อ จะใช้ จะบริโภคอะไรอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีอัตตาคือบริโภคเพื่อตนเองอยู่อย่างไม่สิ้นสุด และแน่นอนว่าในอนาคตจะเห็นการย้อนศรของคำใหม่ๆอีกนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่คำว่า Customization!

2 ความคิดเห็น:

  1. ติดตามมาพบที่นี่ เพราะผมค้นหาคำว่า ผู้บริโภคโลกที่ 3 เพราะเมื่อคืนอ่านเรื่องสั้น ชื่อนี้แหละในนิตยสาร ถูกใจกับมุมมองของนักเขียน เลยทำให้ต้องมาค้นหา

    อ่านไปเสีย 2 บทความ ได้ประโยชน์จริงๆ เขียนได้กระชับ ตรงไปตรงมา รักษาประเด็น

    ผมพยายามลดการบริโภค พูดได้ว่าพยายามจะรักษาความเป็นตัวตนและเงิน(ถ้าหากจะมี) เอาไว้บ้าง แต่ผมมองในด้านของกิเลสและความยาก คือ มันอยากได้ไม่สิ้นสุด คือ อะไรก็แล้วแต่ถ้ามัน "เข้าตา" หรือ "กระทบใจ" เป็นต้องทำให้เกิดกิเลส ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "ผัสสะ" งานโฆษณา คือ งานที่เร้าให้คนเราเกิดผัสสะขึ้นมานี่แหละครับ

    ในมุมมองของคนซื้อของ ถ้าลดผัสสะได้ จะ customise มาแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์อะไร...

    แต่ที่ร้อนรุ่ม กระวนกระวาย อยากได้ อยากมี อยากเป็น กันทุกวันนี้ เพราะใจเปิดรับ (โฆษณา) กันเต็มที่นั่นแล

    ตอบลบ
  2. ความจริงการศึกษาปรัชญาและศาสนาทำให้เราเข้าใจงานโฆษณาและสังคมมากขึ้นจริงๆ เพิ่งตั้งบล็อกเมื่อเดือนที่แล้ว มีคนชอบงานก็ดีใจมากค่ะ :)

    ตอบลบ