“ สี่สิบ” หนุ่มน้อยผิวกรำแดดวัยประมาณสิบเจ็ดตอบฉันชัดถ้อยชัดคำ ฉันไม่รีรอรีบยกขาขึ้นนั่งมอเตอร์ไซค์สีเขียวสดคันไม่ใหญ่ไม่เล็กของเด็กหนุ่มซึ่งอาจจะถึงเร็วหรือไม่ถึงเลย
เขาติดเครื่องพาฉันลัดเลาะไปตามซอกระหว่างรถใหญ่ที่จอดกันแน่นถนนราชดำเนิน
ในวันที่น่าจะเป็นวันอันน่าชื่นชมยินดีของใครหลายคน
ถนนกว้างทางแคบแสบผิวหน้า ฝุ่นควัน รถรา ในเมืองหลวงนั้นเสียดประสาทให้ขนลุกซู่ ฉันกลัวว่าวันหนึ่งร่างกายอาจรู้จักปรับตัวเข้าหาคาร์บอนมอนอกไซด์ด้วยการเป็นมะเร็งปอด ตำรวจจราจรโบกไม้โบกมือให้่สัญญาณอยู่ไม่ห่าง ตำรวจอีกสองสามนายยืนอยู่อีกมุมหนึ่งเพื่อรอเขียนใบสั่งธรรมเนียมส่วยให้แมลงเม่าในเครื่องยนต์เหล่านั้น
ทุกคนบนท้องถนนใช้เงินแลกความเร็ว เหมือนกับฉันที่จ่ายเงินค่ามอเตอร์ไซค์
มอเตอร์ไซค์รับจ้าง .. ซึ่งขณะนี้เป็นวีรบุรุษของฉันแม้คนขับรถอื่นๆจะเห็นตรงข้าม
อันความเดือดร้อนนั้นถ้าเราเพียงมองหรือเป็นคนกระทำเสียเองก็สนุกดี!
ฉันมองนักศึกษากลุ่มหนึ่งในรถเมล์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล คันนี้ถูกสตัฟฟ์ไว้ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วและไม่มีทีท่าว่าอะไรจะกระดิกยกเว้นเท้าของคนในรถและนิ้วมือของคนขับที่ห้อยออกมาเคาะกรองทิพย์ ขี้เถ้าจากปลายบุหรี่ค่อยๆตกลงสู่พื้นถนนพร้อมกับเศษไส้กรองที่เหลือ
หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันบี้ก้นบุหรี่ด้วยล้อเล็กๆแล้วก็ลัดเลาะช่องแคบนรกเพื่อแสวงหาหลืบรู
สู่สถาบันการศึกษามหามงคลที่เชื่อกันว่าใครเข้าไปเรียนได้นั้น “ สุดยอด ” แบบไม่มีข้อกังขา
จะมีได้อย่างไร ก็ใครๆเขาเชื่อแบบนั้นและไอ้คำว่า “ใครๆเขา” ที่แม้จะไม่มีใครรู้มีกำพืดมาจากไหนก็ได้กล่อมเกลาสังคมให้เชื่อแบบนั้น โดยมีหลักฐานยืนยันจากรายนามบุคคลสำคัญในรัฐสภาซึ่งมักจบจากสถาบันนี้ ไม่ก็อีกสถาบันซึ่งเป็นเสมือนคู่รักคู่แค้น บังเอิญฉันมันโง่หรืออย่างไรที่เลือกจะเรียนอะไรก็ได้แต่ไม่เอา ดันริอ่านจะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา สาขาอะไรก็ไม่รู้ที่คนแถวบ้านไม่ยักนิยม …..มานั่งนึกๆไปจะคุ้มหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดูสิดูคนเขาชูคออวดตรายศตราศักดิ์ปักป้ายปริญญาเดินเยื้องย่างอย่างอวดองค์
นักศึกษาในรถ
เมล์คันเมื่อกี้ก็กำลังเดินทางไปที่เดียวกันเป็นแน่ เพราะถือของฝากสารพันที่สรรหามาเป็นกระบุง
ความดีใจของมนุษย์นั้นหลายๆครั้งก็เข้าใจได้ยาก และฉันเองกว่าจะดีใจอะไรได้จริงๆสักทีก็ต้องหาคนช่วยดีใจ หรือเข็นให้ดีใจนับสิบเพราะใจจ้องจับผิดอะไรต่อมิอะไรอยู่ร่ำไปตามประสาสิ่งมีชีวิตมากเรื่อง - เอ้อ - เรื่องมาก!
ไอ้หนุ่มน้อยมอเตอร์ไซค์พาฉันมาหยุดลงตรงหน้ามหา’ลัย …
“ พี่ๆ ถึงละ สี่สิบ”
“ เออ กูรู้ ” ฉันตอบในใจเพราะหงุดหงิดจากอุณหภูมิระอุ ลึกๆนึกขอบคุณไอ้น้องที่มาส่งด้วยค่าแรงแสนถูก
(คำนวณจากทักษะซึ่งประกอบด้วย วิสัยทัศน์อันกว้างไกล ความรู้เชิงภูมิศาสตร์ ความกล้าหาญ ความด้าน-หน้า)
นี่ยังไม่รวมค่ารถ ค่าน้ำมันอีก ฉันควักแบงค์ห้าสิบให้หนุ่มน้อยคนนั้น
“ ไม่ต้องทอน” ฉันยิ้มแล้วเดินเข้าประตูมหา’ลัยไป เขาตะโกนขอบคุณไล่หลังเต็มเสียง ฉันอดคิดไม่ได้ว่าไอ้นักศึกษามหา’ลัยสูงส่งเหล่านี้มันจะมีความคิดแบบไอ้น้องมอเตอร์ไซค์ที่เห็นบุญคุณลูกค้าแบบนี้ไหม ลำพังเงินภาษีพ่อแม่ของพวกเอ็งนั้นไม่พอค่าเรียนหรอก
ตอนเรียนอยู่ก็เดินไปเดินมา คนที่เรียนจริงเรียนจัง กิจกรรมเด่น เก่งทุกด้านนั้นก็พบมาก
แต่เวลาเข้าสู่วงเหล้าต้องเผลอพูดจาดูถูกเหน็บแนมสถาบันอื่นทุกคราไป เรื่องดูถูกชาวบ้านละยกให้ เดี๋ยวคนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็โง่
คำก็ “ไร้การศึกษา” สองคำก็ “บ้านนอก”
ไร้การศึกษากับบ้านนอกมันไม่ดีตรงไหน และไอ่้เด็กชาวกรุงบ้าฝรั่งทั้งหลายมันประเสริฐกว่าใคร?
ฉันเป็นพวกชอบแสวงหา
แต่ยิ่งหาคนเก่ง ประวัติเยี่ยมที่ไม่นึกดูถูกใครนั้นก็ยิ่งพบว่าน้อยกว่างมเข็มในมหาสมุทร
อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ฉันเองก็เป็น เป็นมากเสียด้วย มิฉะนั้นคงไม่แอบหมั่นไส้เพื่อนพ้องของตัวจนเอามาเขียน
งานรับปริญญาก็ไม่ค่อยต่างจากงานที่คนพบปะกันเพื่อที่จะมารินยารินเหล้าฉลองอะไรก็ไม่รู้
ชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล ที่ฉันมาวันนี้ตั้งใจจะมาพบปะเพื่อนฝูงก่อนจะลาไปตลอดกาลสู่โลกที่ตัวเองอยู่
ตั้งใจจะมาปะ มารินยาให้เพื่อจะบอกว่า … “
รินเพื่อลาชีวิตความเป็นเด็กของตัวเองและก้าวสู่การเดินบนลำแข้งให้ได้อย่างเป็นสุขและสวยงามนะเพื่อนๆ”
ประตูหน้ามหา’ลัยฝั่งสนามหลวงนั้นสวยงามจนบอกไม่ถูก สวยและนิ่งจนฉันอยากจะร้องไห้
ความทรงจำเก่าๆที่เคยร่ำเรียน ณ สถาบันแห่งนี้ย้อนกลับเข้ามาให้รำลึก
เป็นความทรงจำยุคตัวหนอนที่ยังไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองเป็นใคร อยู่ที่ไหนอย่างไร แต่ลึกๆก็เชื่อว่าตัวเองเป็นผีเสื้อที่จะโบยบินสู่ฟ้ากว้างอย่างสวยงามตามวิถีที่สร้างเอง
เป็นความฝันแบบเด็กวัยรุ่นที่กรุ่นกลิ่นความสด ความหวังพลังฝัน ซึ่งบัดนี้ได้ก่อตัวเป็นความจริงตามสมควร
ฉันทิ้งหัวใจของตัวเองไว้ที่นี่ … ณ ลานสีเขียวซึ่งเคยมองว่ากว้าง
ณ ตึกกิจกรรมอันเคยมาพำนัก มาหัวเราะ ร้องไห้ และหลากอารมณ์ประสาวัยรุ่น
ฉันพยายามกดเครื่องสี่เหลี่ยมแบนๆหาเพื่อนหลายรอบแต่สัญญาณล่มไม่เป็นท่า มือซนๆจึงคว้ากล้องถ่ายรูปมาบันทึกภาพขณะเดินสำรวจพฤติกรรมมนุษย์รอบอาณาบริเวณ
เจอคนรู้่จักก็แวะทักทาย ถ่ายรูป จูบลาหน้าหลังอย่างกับคุ้น มีทั้งคุ้นจริง คุ้นเทียม เกือบคุ้น มีแม้กระทั่งคนที่ถ่ายรูปคู่กันไปหลายรูปแล้วนึกให้ตายก็ไม่ออกว่าเป็นใคร
เพื่อนๆที่คณะเดิมสวมชุดครุยสีดำแถบทองอย่างสง่างาม คำทักทายเป็นมิตรอย่างเคย รอยยิ้มเปื้อนหน้าและความเรียบง่ายแบบเดิมๆนั้นน่าชื่นชมดี เพราะไม่มีใครมีช่างกล้องที่จ้างมาเฉพาะ มีแค่เพื่อน หรือคนรู้จักที่อาสาถ่ายให้ เสื้อผ้า หน้าผมก็แต่งกันเองอย่างมืออาชีพ
ฉันว่าคนเราควรใช้เงินให้สมฐานะ และไม่น่าจะห่วงด้านนอกมากกว่าด้านใน หรือสนใจพิธีการมากกว่ากระบวนการ
แต่พอเล่าเนื้อคิดเหล่านี้ให้ใครฟังเขาก็ลงความเห็นว่าไอ้ฉันมันหัวนอก
คำว่า “ สนใจกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ ” นั้นเป็นลักษณะหนึ่งของความคิดแบบ “ โพสต์โมเดิร์น ”
“ใน มากกว่า นอก” นั้นก็พวก “ ซ้ายจัด ” ซึ่งไอ้ทั้งสองประการมันก็มาจากประเทศแถบตะวันตกอยู่ดี และไอ้ฉันเองที่ไปกล่าวหาชาวบ้านว่าเห่อฝรั่งนั้นก็คงพูดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะสมองของฉันโดนฝรั่งย้อมไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ส่วนไอ้เพื่อนๆที่บ้าเครื่องสำอางค์หรือกระเป๋าต่างชาติตลอดจนสื่อเกาหลีนั้นยังคิดอะไรในระบอบไทยเดิม
มากกว่าฉันซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนไทยแท้ๆอีก … จบบทสนทนาตรงที่ว่าเราแย่งกันว่าใครไทยกว่า
ฉันและเพื่อนอีกสองคนซึ่งล้มเลิกการโทรศัพท์หากันแต่สุดท้ายก็มาพบกันโดยบังเอิญนั้น
เดินกระเตงสังขารกันไปๆมาๆ เบียดคนเรือนหมื่น ต่อคิวซื้อน้ำ กางร่ม ข้ามเสมหะ ข้ามขยะ ถ่ายรูป
ต่อคิวเข้าห้องน้ำเพื่อ “โบ๊ะ” หน้าไม่ให้มันแผล่บ
ไอ้คำว่า “ ในมีดีกว่านอก” นั้นใช้ไม่ได้หรอกสำหรับวันนี้
ลืมบอกท่านผู้อ่านไป ว่านอกจากฉันจะเป็นนักแสวงหาแล้วยังเป็นนักเล่าเรื่องและนักปากว่าตาขยิบตัวยงด้วย!
ของที่ฉันใช้เป็นของนอกทั้งสิ้น มือถือจากฟินแลนด์ เสื้อเมดอินมาเลย์เซีย เครื่องสำอางค์เพิ่งซื้อจากอเมริกา เครื่องประทินผิวส่วนใหญ่เป็นของสวิสเซอร์แลนด์ จะมีของไทยบ้างก็ไม่มาก
ไม่ได้จะอวดร่ำอวดรวยประการใด แค่จะบอกว่า ฉันไม่ได้นิยมไทยอย่างที่ปากพร่ำพูดหรอก…
แต่จะหาข้ออ้างให้ตัวเองสักหน่อยว่าที่ซื้อมาก็เลือกเฉพาะตอนลดราคาหรือฝากเพื่อนซื้อจึงได้ราคาถูกเกินครึ่งถ้าเทียบกับซื้อที่นี่
ฉันมองว่าคนไทยไม่ได้อยากจะนิยมของนอกเพราะอยากนิยม เพียงแต่ไม่มีสินค้าไทยที่ตอบความต้องการของเขาได้มากเท่า
ฉันใช้หลักกาลามสูตรกับทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นมนุษย์ไม่สังคมโลกมาระยะหนึ่ง
คือเลือกเฟ้นแค่บางคน และบางคนที่สุงสิงก็พึ่งพิงเพียงบางระยะ ไม่ได้จะเชื่อสิ่งใดสนิทแน่ทีเดียว
พักหลังคิดได้ว่าเราเริ่มไม่สายกลางสักเท่าไร พระพุทธองค์คงไม่ได้ตั้งใจให้คนเบื่อโลก ไปบวชหรือทดลองทุกสิ่งเองกันหมด ขืนใช้หลักกาลามสูตรลองเครื่องสำอางค์ทุกยี่ห้อคงได้แผลเหวอะหวะ ไม่ก็แพ้สารเคมีบางตัว
อย่างน้อยๆสิ่งที่ได้คือกระเป๋าบางลงทันตาเห็น
ฉันและเพื่อนๆเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังหอประชุมเพื่อรอเพื่อนรักของฉันอีกคนซึ่งอันที่จริงเป็นคนรักเก่าสมัยเรียนมัธยมปลาย
กระทั่งมาเลิกกันตอนจบเทอมหนึ่งปีหนึ่ง ณ รั้วริมสนามหลวงแห่งนี้
เรื่องรักของเด็กๆมันก็ตลกดี สมัยก่อนเราหัวเราะ ร้องไห้ สรวลเสเฮฮากันตั้งมากมาย
เหมือนกับเชื่อจริงๆว่าเราเกิดมาคู่กันและต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ถึงเวลาแยกก็ต้องแยก
เหมือนกรรมการเป่านกหวีดว่าหมดเวลา ต้องไปแล้ว ต่างคนต่างงงทำอะไรไม่ถูก ตีโพยตีพายกันพักใหญ่ เราทั้งคู่จมอยู่ในกระแสฮอร์โมนซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นรัก ถึงเวลาเจอกันวันนี้เขามากับแฟนใหม่ส่วนฉันมากับเพื่อนๆ
เราก็มองหน้ากัน ยิ้มให้กันแบบเพื่อนที่แสนดี ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้วก็แยกทางกันไปตามเรื่องตามราว
แฟนใหม่เขามองหน้าฉันเหมือนรู้ว่านี่ใคร ฉันยิ้มให้เขาก็ยิ้มตอบ ฉันบอกไอ้เพื่อนยากคนนี้ตลอดว่าถ้าเจอความรักดีๆอย่าเผลอทำแบบที่แกทำกับฉันนะโว้ย…
มันก็ตอบแบบกวนตีนหน่อยๆแล้วก้มหน้าหลบสายตาตอบว่า “ เออ กูรู้” หน็อยแน่ไอ้ตัวแสบ!
ฉันแหวกฝูงชนเดินสวนคนโน้นคนนี้
มีเพื่อนชายบางคนที่เคยคบจนสนิทและบัดนี้เมื่อต่างคนต่างสบตากันก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นโดยอัตโนมัติ
สงสัยมนุษย์คงมีสัญญาณดีกว่าเรด้าร์คอยแยกแยะว่าอะไรดี อะไรร้ายอยู่ในซอกความทรงจำ
ไอ้ฉันเองตอนอยู่แถวนี้ก็ประพฤติตัวไม่งามสักเท่าไร แม้ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่ก็แหกกฏคณะทุกอย่าง ข้อที่เขาบังคับใส่กระโปรงยาวกรอมเท้า ข้าพเจ้าก็ใส่สั้นสามนิ้ว ไม่มีโรคจิตมาตามตื๊อก็ให้รู้ไป
เราสามคนเดินไปซื้อข้าวทางประตูหลัง สุดท้ายได้ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมาสองกล่อง แอบไปนั่งกินกันบนตึกคณะเศรษฐศาสตร์ ในห้องแอร์ที่คนนอกไม่รู้และไม่เข้า เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนชอบเพราะรู้สึกว่ามี “ อภิสิทธิ์ ”
ใครๆก็ชอบมี ….ไม่จริงหรือ?
ไม่มีใครอยากเท่าเทียมกับคนอื่นหรอก แม้จะบอกว่าสงสารคนนั้นคนนี้ อยากช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ลองเป็นอย่างเขา หรือเกิดในสภาพอย่างเขาคงไม่มีใครอยากเป็น ทุกคนอยากร่ำรวย ดีเด่น
ฉันเห็นไฟแห่งความฝันโชติช่วงในดวงตาของเหล่าบัณฑิต พวกเขาอยากดีกว่านี้ มีเงินมีทองใช้ สบายกว่านี้
หลายๆคนอยากมี “ อภิสิทธิ์” …. อย่างน้อยๆก็ในที่ที่ตัวเองอยู่
ก๋วยเตี๋ยวหมดไปสองกล่อง .. คนเริ่มเข้าห้องลับของพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเราเผลอใช้คำว่า “ ของพวกเรา ” แล้วเดินออกจากห้องทั้งๆที่มันเป็นห้องของมหาวิทยาลัย
ซึ่งได้่เงินมาจากภาษีประชาชนและอุปการะคุณจากบรรดาศิษย์เก่า ฉันขมวดคิ้วแล้วคิดว่าทำไมฉันเห็นแก่ตัวอย่างงี้วะ?
ฉันโยนขยะทิ้งลงถังซึ่งกำลังจะล้ม เคราะห์ดีที่เห็นแม่บ้านเดินผ่านมาเลยทำตนเป็นคนดีไปบอกให้เขารีบเอาถุงมาเปลี่ยน อีเรื่องแค่นี้ทำให้ว่าที่บัณฑิตดีกรีนอกผู้เก่งการงอมืองอตีนรู้สึกเป็นคนดีขึ้นนิดหน่อย
ทั้งๆที่มันไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย…. เอ๊ะอีนี่!
เพื่อนฉันสองคนหยิบธนบัตรออกมาซื้อพัด
ซื้อที่เดียวสามอันเพราะรุ่นน้องคณะเดียวกันกับพวกหล่อนเป็นคนขาย …เปลืองทรัพยากรเปล่าๆ
รายได้จากการซื้อพัดจะนำไปช่วยเด็กยากไร้ที่ไหนก็ไม่รู้ อย่างไรก็ไม่รู้
อีสหายสองตัวก็รัวพัดยิก ฉันเลยหันไปถามอีน้องนางคนขายที่กำลังจะเดินจากว่า
“น้องคะ .. ช่วยเด็กนี่ช่วยยังไงเหรอคะ” ….. อีน้องนางทำหน้าครุ่นคิดแกมพิศวง ตอบเป็นใจความได้่ว่า
เงินที่ได้จะนำไปสมทบทุนสร้างโรงเรียนให้เด็กยากไร้ที่ต่างจังหวัด
ฉันคิดต่อไปอีก ว่าเวลาสร้างแล้วจะมีครูเหรอ แล้วถ้าสร้างเสร็จปล่อยรกร้างไม่มีคนดูแลวันใดวันหนึ่งอาจจะมีฆาตกรติดยาไปซ่อนตัวอยู่แล้วลากเด็กไปฆ่า
ถ้าไอ้กรณีนี้เกิดขึ้น การซื้อพัดสามอันจะเป็นบาปมหันตร์ทางอ้อม
วิธีคิดแบบนี้เอง สหายหลายสัญชาติมันพากันเรียกฉันว่า “ มิสก็ไม่แน่”
ฉันมักจะพูดว่า “ ก็ไม่แน่นะ… สมมติว่า…”
พอพูดจบทุกคนก็เข้ากลุ่มประชุมวิตกจริตหาวิธีนู่นนี่เพื่อวางแผนงานให้รัดกุม เพื่อกระทำการสารพัดอื่นๆต่อไป
“มิสก็ไม่แน่” คนนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพายเพราะมักคิดสมมติเป็นตุเป็นตะอยู่คนเดียวตลอดเวลาและไม่ทำอะไรจริงจังสักที
กลับมาเข้าเรื่องพัดกันต่อ …
วันรับปะรินยานี่เป็นวันของพัดและญาติๆพัด อันได้แก่ ญาติกิตติมศักดิ์(ช่อดอกไม)้ ญาติฝ่ายแม่(ตุ๊กตา)
ญาติฝ่ายลูกตำรวจ(ป้ายทะเบียนปลอม ประทับตรา จบ 2550 อะไรก็ว่าไปตามปีจบ) ญาติฝ่ายเสบียง (อาหารทั้งหลาย) สรุปว่าเป็นวันที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูมากที่สุด นี่ยังไม่รวมรายได้ที่ร้านรูปจะได้รับ รายได้ที่กระจายไปสู่ช่างภาพมืออาชีพและมือสมัครเล่น
ร้านตัดสูท ตัดเสื้อไหมวิไลวรรณพรรณรายประกายเพชรเจ็ดสีอะไรก็ตามแต่
สุดท้ายที่ไม่สามารถละเว้นได้่เลยคือ
ห้่างพันธุ์ทิพย์ ซึ่งขายอุปกรณ์ทุกชนิด อาทิ โปรแกรมช่วยตัดแต่งตัดต่อภาพถ่าย ซีดีเปล่า อุปกรณ์กล้อง
จนกระทั่งเพลงประกอบซีดีวันรับปะรินยาซึ่งมีคนทำกันจริงๆ
เวลาบ่ายสามกับอากาศร้อนสุดขีดกลางเมืองหลวงบ้าบิ่น
ฉันจับพัดที่เพื่อนสาวซื้อให้มาพัดวีหน้าตัวเองที่กำลังเลอะเหงื่อไคล …
เหงื่อออกจนชาวบ้านสามารถเห็นรอยเสื้อชั้นในฉันได้่จากระยะสามสิบเมตร แม้ความจริงไม่มีใครเห็นเพราะเบียดกันจนตัวติดฉันก็รู้สึกสมเพชตัวเองอยู่ดี
เมื่อเดือนที่แล้วไปรับปริญญาเพื่อนที่คิงส์คอลเลจไม่เห็นเป็นอย่างนี้ … ไม่มีอะไรขายเลย และรถก็ไม่ติด
ไม่มีประกาศในวิทยุเลยแม้สักคลื่น เข้าหอประชุมแล้วก็เสร็จ ถ่ายรูปรวมแล้วก็จบ หลายมหาวิทยาลัยรับปริญญาบริเวณโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ซึ่งเทียบความสำคัญน่าจะเท่ากับวัดพระแก้วบ้านเรา ก็ไม่เห็นมีการแห่ขบวนเสียใหญ่โตหรือจัดพิธีซ้อมกันหลายรอบ
สรุปง่ายๆว่าคนไทยห่วงภาพพจน์จนเป็นวัฒนธรรม
ตกเย็นคนเริ่มซา เช่นเดียวกับฝน เพื่อนคนหนึ่งลากลับบ้านไป ฉันจึงได้โอกาสเกาะเพื่อนที่เหลืออยู่ไปรินยากับบัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์อีกสองนาย เรานั่งรถออกจากสนามหลวงและช่วยกันคิดว่าจะกินอะไรดี รถยนต์ที่เพื่อนสาวขโมยมาใช้เมื่อไม่มีใครอยู่บ้าน แล่นไปติดไปตามทาง ร้านรวงย่านนั้นก็เต็มหมด เราดิ่งไปสยาม(อีกแล้วหรือ) ประหลาดที่รถไม่กล้าติดอีก
คงเป็นเพราะมันติดตอนบ่ายจนสนองตัณหาเทพเจ้าทางหลวงไปเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งรถผ่านร้านมาก ตัวเลือกก็ยิ่งมาก ยิ่งคนมาก ก็ยิ่งคุยมาก และยิ่งทำให้หิวมาก
สุดท้ายเรานั่งกินสุกี้กันที่ร้านใกล้โรงเรียนเก่าฉัน ร้านนี้สมัยนั้นฉันยังไม่เคยกล้ากินเพราะท่าทางแพง
ตอนนี้รู้สึกเหมือนต้องเดินทางรอบโลกเพื่อที่จะ “กล้า” กินร้านที่อยากกินมานาน
เราสนทนากันไปเรื่อย .. สี่คนที่พูดภาษาเดียวกันคุยกันได่้ลื่นไหล ชายหนุ่มซึ่งนั่งตรงข้ามสั่งไวน์มาดื่ม
ฉันสั่งค็ิอกเทล เพื่อนสาวของฉันและบัณฑิตใหม่อีกคนสั่งวิสกี้ เมื่อเหล้าหมดแก้วทั้งสี่ เราก็สั่งไวน์แดงมาทั้งขวด
“ เรียนจบแล้วจะทำอะไร ”
ฉันถามชายตรงหน้าแล้วยกแก้วขึ้นชนกับเขา
“ งาน.. ขอเงินซัก สองสามหมื่นต่อเดือนเท่านั้นแหละ ” เขาตอบ อีกสองคนที่เหลือพยักหน้า
“ ..ง่ายจะตายแก เผลอๆได้่มากกว่านั้นอีกนะ เกียรตินิยมหนิ” เพื่อนสาวของฉันกล่าว
“ ตอนนี้เศรษฐกิจฝืดว่ะ ..กูไปขายน้ำมันดีกว่า” ชายอีกคนเสริม พลางทำไม้ทำมือ
“ กูไม่อยากจบเลยมึง.. โหวงสัตว์ๆ” เจ้าของเกียรตินิยมพูดขึ้น
“ กูอยากจบ… สบายตายห่า มึงคิดดู วันๆมึงนั่งเล่นเกม หรือไม่มึงก็ทำเว็บไรก็ได้ ขายของ ของห่วยๆเลยนะเว่้ย
กูเห็นเงินลอยมาเรื่อยๆ” เขายักคิ้วอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ กูว่ากูหางานทำก่อนดีกว่าว่ะ.. แล้วพอรู้แนวค่อยไปต่อ” ชายหนุ่มตัดรำคาญท่าทางมั่นใจของเพื่อน
จนแล้วจนรอดก็ต้องวนมาถึงหัวข้อเกี่ยวกับอนาคตซึ่งทุกคนต้องทำหน้าเครียดอย่างเลี่ยงไม่ได้
บางทีเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก บางคราก็มีบางคนแสดงสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด
“ แกจะทำไรวะ ” เพื่อนสาวคนสนิทถามฉัน
“ หา.. เออ มีแต่คนถาม ถามตั้งแต่กูไปแล้ว กูว่ากูคงอยู่แถวนั้นแหละ ถ้ากลับไทยกูแดกแกลบพอดีมึง เพื่อนกูก็ไม่มี เด็กมหาลัยมึงเอางานไปแดกหมด” ฉันตอบแล้วกระดกแก้วไวน์
“ ขี้เกียจหางาน ” ชายหนุ่มตรงหน้าถอนหายใจอีกระลอกแล้วยกไวน์ขึ้นจิบ
“ ทำไมวะ .. ” เพื่อนชายของเขาถามนิ่งๆ
“ ก็… กูว่ากูชอบเรียน กูหาเรื่องเรียนโทดีกว่า เอาไว้ยืดเวลาเป็นเด็ก มึงว่าดีมั้ย”
เขาพูดพลางพับปกเสื้อเชิ้ตให้เข้าทรง ยกไวน์ขึ้นจิบอีกที
บังเอิญว่าความคิดของฉันต่างจากของเขาโดยสิ้นเชิงฉันจึงไม่กล่าวอะไรอีก
ไวน์เหลืออีกครึ่งขวด ทุกคนลงความเห็นว่าให้ฉันนำกลับบ้านเพราะท่าทางกินไวน์เก่ง …
ไม่หรอก พวกมันที่เหลือแค่ไม่มีปัญญาถือกลับ พวกเราทั้งสี่นั่งรถของยัยเพื่อนสาวชาวกรุงกลับบ้าน เธอปล่อยสองหนุ่มลงที่รถไฟฟ้า
ฉันเห็นเงาประหลาดจากร่างของเขาทั้งคู่ที่พื้น
เมื่อเพื่อนสาวส่งฉันกลับบ้านโดยปลอดภัยแล้ว
ภาพเงาของชายหนุ่มทั้งสองก็ยังตามมาหลอกหลอนหลังจากกลับบ้าน
ฉากที่น่ากลัวนั้นมีชายหนุ่มวัยยี่สิบสองสองคนถือตุ๊กตุ่นตุ๊กตาลงจากรถแล้วโบกแท็กซี่
ที่พื้นปรากฏเงาแปลกๆ …
เป็นภาพชายหนุ่มกับเด็กชาย เปลี่ยนสลับไปมาในเงาเดียว
ปีหน้าใต้รอยเท้าฉันจะมีเงาแบบนี้ไหมนะ?
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Fine Art : มายาคติควายอาร์ต
ควายอาร์ต หรือ วิจิตรศิลป์นั้นแปลเป็นไทยให้ตรงเป๊ะน่าใช้คำว่า ละเมียดศิลป์ ซึ่งผู้ชมเองก็ต้องละเลียดชม ห้ามยกซดเด็ดขาดมิฉะนั้นจะไม่รู้เรื่อง... วิจิตรศิลป์คือศิลปะที่ปราศจากประโยชน์ใช้สอย ไม่ว่าจะเป็นภาพ2มิติ งาน3มิติ หรือ 4มิติ ....กล่าวคือ มีไว้ดู มีไว้จับ เพื่อจรรโลงใจล้วนๆ หาใช่เพื่อนำมาเป็นสาธารณูปโภคไม่
ในสมัยหลายร้อยศตวรรษที่แล้วจิตรกรมีหน้าที่หลักคือวาดรูปเหมือน หรือปั้นรูปเหมือน เพราะไม่มีกล้องถ่ายภาพ จิตรกรดังหลายท่านวาดภาพ คน สัตว์ สิ่งของ เพื่อความสำราญของตนและสังคม สถานภาพทางสังคมของจิตรกรอาจเทียบได้กับผู้กำกับหนัง หรือ ช่างภาพ ในปัจจุบันซึ่งมีบุคลิกเซอร์ๆ บางครั้งสกปรก หน้าม่อ และหลงตัวเอง บางคนที่มีบรรดาศักดิ์ที่สูงหน่อยก็อาจเรียกได้ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงกันเลยทีเดียว
ความเชื่อที่ว่าควายอาร์ตเป็นของสูงและบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นเกิดขึ้นจากแถบยุโรปและเมืองจีนพร้อมๆกัน ในยุคที่ผู้มีเงินซื้อศิลปะชั้นเลิศจะมีเพียงชนชั้นนำของสังคม ชนชั้นรองๆลงมาก็เสพย์ได้เพียงศิลปะข้างถนน หรือ การแสดงจำอวด แม้เมื่อยุคสมัยดังกล่าวหมดสิ้นลงความคิดแยกแยะประเภทศิลปะตามชนชั้นวรรณะของผู้เสพย์ไม่ได้เลือนหายไปด้วย คำว่า Fine Art จึงขึ้นแท่นเป็น Pure Art หรือ ศิลป์บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครกล้ากังขา
ส่วนศิลปะอีกแขนงที่เดินตามมาจนกลายเป็นไฮโซ ณ ปัจจุบันคือ Fashion ซึ่งก็มาจากในพระราชวังฝรั่งเศสอีกนั่นแหละ!
ด้วยเหตุนี้เองการละคร การดนตรี ผลิตภัณฑ์ หรือ ศิลปะสิ่งพิมพ์กลับกลายเป็นสิ่งฝั่งอนุรักษ์นิยมมองว่าไม่ Fine ไม่ควาย..ไม่ละเมียด เพียงเพราะกำเนิดขึ้นนอกรั้ววัง เราอาจไม่รู้ตัวว่าเราซึบซับวัฒนธรรมทางความคิดดังกล่าวไปแล้วผ่านการปลูกฝังในครอบครัว การเชื่อตามๆกันมา หรือการบอกเล่าของครูสอนวิชาวิจิตรศิลป์ซึ่งย่อมยกหางตัวเองโดยอัตโนมัติ
เคยมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอังกฤษคนหนึ่งตั้งข้อกังขาว่า ... หากเราอยู่ในยุค Post Modern จริง เหตุไฉนความคิดเราจึงยังติดกรอบของมนุษย์ยุควิคตอเรียน... ค่านิยมใดที่ยุคนั้นชื่นชอบหรือสาปส่งเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรื่อยไป นักเขียนคนดังกล่าวเอ่ยถึงแม้ค่านิยมเรื่องโสเภณี ซึ่งได้ค่าตัวสูงลิบและมีการกินยาป้องกันโรคติดต่อ... หล่อนใช้ชีวิตบนหอคอยงาช้างเยี่ยงนางแบบ FHM ในยุคเรา
โรงแรมห้าดาวยังใช้โคมไฟระย้าแบบวิคตอเรียน ม่านแบบวิคตอเรียนยังเป็นทัศนภาษาของความมีระดับ
ชี้แจงดังนี้แล้ว.. เราๆท่านๆอยู่ในยุคไหนกัน... หากยังจัดชนชั้นแม้ประเภทของศิลปะโดยอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเผลอมองงานผ่านกำพืดของมัน ไม่ได้มองชิ้นงานจริงๆ ...
เราอาจมองข้ามสาร โดยการตัดสินด้วยสื่อ วิธีการมองแบบนี้อาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ สุนทรียะ
ในสมัยหลายร้อยศตวรรษที่แล้วจิตรกรมีหน้าที่หลักคือวาดรูปเหมือน หรือปั้นรูปเหมือน เพราะไม่มีกล้องถ่ายภาพ จิตรกรดังหลายท่านวาดภาพ คน สัตว์ สิ่งของ เพื่อความสำราญของตนและสังคม สถานภาพทางสังคมของจิตรกรอาจเทียบได้กับผู้กำกับหนัง หรือ ช่างภาพ ในปัจจุบันซึ่งมีบุคลิกเซอร์ๆ บางครั้งสกปรก หน้าม่อ และหลงตัวเอง บางคนที่มีบรรดาศักดิ์ที่สูงหน่อยก็อาจเรียกได้ว่ามักใหญ่ใฝ่สูงกันเลยทีเดียว
ความเชื่อที่ว่าควายอาร์ตเป็นของสูงและบริสุทธิ์ผุดผ่องนั้นเกิดขึ้นจากแถบยุโรปและเมืองจีนพร้อมๆกัน ในยุคที่ผู้มีเงินซื้อศิลปะชั้นเลิศจะมีเพียงชนชั้นนำของสังคม ชนชั้นรองๆลงมาก็เสพย์ได้เพียงศิลปะข้างถนน หรือ การแสดงจำอวด แม้เมื่อยุคสมัยดังกล่าวหมดสิ้นลงความคิดแยกแยะประเภทศิลปะตามชนชั้นวรรณะของผู้เสพย์ไม่ได้เลือนหายไปด้วย คำว่า Fine Art จึงขึ้นแท่นเป็น Pure Art หรือ ศิลป์บริสุทธิ์อย่างไม่มีใครกล้ากังขา
ส่วนศิลปะอีกแขนงที่เดินตามมาจนกลายเป็นไฮโซ ณ ปัจจุบันคือ Fashion ซึ่งก็มาจากในพระราชวังฝรั่งเศสอีกนั่นแหละ!
ด้วยเหตุนี้เองการละคร การดนตรี ผลิตภัณฑ์ หรือ ศิลปะสิ่งพิมพ์กลับกลายเป็นสิ่งฝั่งอนุรักษ์นิยมมองว่าไม่ Fine ไม่ควาย..ไม่ละเมียด เพียงเพราะกำเนิดขึ้นนอกรั้ววัง เราอาจไม่รู้ตัวว่าเราซึบซับวัฒนธรรมทางความคิดดังกล่าวไปแล้วผ่านการปลูกฝังในครอบครัว การเชื่อตามๆกันมา หรือการบอกเล่าของครูสอนวิชาวิจิตรศิลป์ซึ่งย่อมยกหางตัวเองโดยอัตโนมัติ
เคยมีนักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวอังกฤษคนหนึ่งตั้งข้อกังขาว่า ... หากเราอยู่ในยุค Post Modern จริง เหตุไฉนความคิดเราจึงยังติดกรอบของมนุษย์ยุควิคตอเรียน... ค่านิยมใดที่ยุคนั้นชื่นชอบหรือสาปส่งเราก็เห็นดีเห็นงามด้วยเรื่อยไป นักเขียนคนดังกล่าวเอ่ยถึงแม้ค่านิยมเรื่องโสเภณี ซึ่งได้ค่าตัวสูงลิบและมีการกินยาป้องกันโรคติดต่อ... หล่อนใช้ชีวิตบนหอคอยงาช้างเยี่ยงนางแบบ FHM ในยุคเรา
โรงแรมห้าดาวยังใช้โคมไฟระย้าแบบวิคตอเรียน ม่านแบบวิคตอเรียนยังเป็นทัศนภาษาของความมีระดับ
ชี้แจงดังนี้แล้ว.. เราๆท่านๆอยู่ในยุคไหนกัน... หากยังจัดชนชั้นแม้ประเภทของศิลปะโดยอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเผลอมองงานผ่านกำพืดของมัน ไม่ได้มองชิ้นงานจริงๆ ...
เราอาจมองข้ามสาร โดยการตัดสินด้วยสื่อ วิธีการมองแบบนี้อาจทำให้พลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดไป นั่นคือ สุนทรียะ
เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์หรือการผลักดันแบบคีช?
เมื่อไม่นานมานี้คนไทยเราคงเริ่มคุ้นหูกับคำว่าเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy ซึ่งได้รับการผลักดันจากกระทรวงพาณิชย์ คำอธิบายง่ายๆหากใครคิดตามไม่ออกก็คือการทำสินค้าเชิงสร้างสรรค์ออกมาขาย คำว่าสร้างสรรค์นั้นแตกต่างจากสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมโดยสิ้นเชิงเพราะไม่ต้องมีอะไรใหม่ ไม่ต้องประดิดประดอยเกินงามหรือใช้เทคโนโลยีสูง อะไรก็ได้ง่ายๆ ทำเองได้ น้อยชิ้นก็ได้ มีกำลังผลิตมากทำได้มากก็ตามสะดวก องค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานนี้ก็หนีไม่พ้น TCDC ศูนย์การออกแบบ ตั้งแอบๆอยู่ที่ชั้นหก ณ ห้างเอ็มโพเรี่ยม ติดกับโรงภาพยนตร์ราคาแพงนั่นเอง
Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”
ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย
งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ
การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...
สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน
Creative Economy ให้อะไรกับเราบ้าง... บางทีคนไทยอาจมีเลือดของนักสร้างสรรค์อยู่แล้วโดยไม่เคยต้องมีคำจำกัดความก็ได้...อาหารห่อใบตองก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง การจับจีบผ้าแบบรัตนโกสินทร์ก็เป็นผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ หรือแม้กระทั่งหนังแม่นาคพระโขนงก็ใช่!
แขนยาวๆก้มเก็บลูกมะนาวใต้ถุนบ้าน ใครจะคิดได้ถ้าไม่ใช่คนไทย และการนำภาพมาประกอบกันเป็นเรื่องก็ได้โกยเงินเป็นกอบเป็นกำมาแล้ว นี่แหละ! เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ฉันพูดถึง คือการสร้างสรรค์พาณิชย์ศิลป์ซึ่งมีที่มาที่ไปอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมของตนเอง สรุปง่ายๆคือ “มีราก”
ทว่าความเป็นจริงซึ่งกำลังเกิดขึ้นในองค์รวมกลับเป็นงานที่เรียกว่า “คีช” Kitsch ภาษาเยอรมันแปลว่าการลอกอะไรมาทำซ้ำ ประยุกต์บ้างแต่น้อย โดยไม่สนใจว่าจะเกี่ยวข้องกับบริบทหรือไม่ อาทิ เช่น
ปลอกไอโฟนรูปช็อคโกแลต ขนมไม่มีความเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ อาจจะทำให้พังด้วยซ้ำ คนออกแบบไอโฟนไม่ได้คิดว่ามันสอดคล้องกัน มิฉะนั้นท่าน Sir Jonathan Ive คงทำขายเองไปแล้ว
คนออกแบบซึ่งวงการออกแบบฝั่งยุโรปอาจรุมด่าคงไม่ได้มีสมองมานั่งคิดว่า... โทรศัพท์มือถือมันเกี่ยวกับขนมอย่างไร ถ้าเกี่ยวจริงสมควรจะมีคำอธิบายข้างกล่อง คิดกันง่ายๆว่าเออ... มันเป็นแท่งๆเหมือนช็อคโกแลตเนอะ.. เอารูปนี้มาทำปลอกไอโฟนขายดีกว่า...เท่านี้แหละจบ! แล้วก็ขายดิบขายดีเสียด้วยเพราะออกมาหน้าตาน่ารัก... คล้ายๆคนสวยแต่ไม่มีสมองย่อมมีคนมารุมจีบมากมาย
งานออกแบบลักษณะนี้ภาษาโฆษณาอาจลวงด้วยคำว่า Gimmick ให้ดูสวยหรูเข้าว่า .. อันที่จริงกลุ่มผู้ชื่นชอบผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้ก็มีมากมาย หลายรายก็เป็น Brand ระดับเจ้าถิ่นอย่าง Propaganda ซึ่งงานครึ่งหนึ่งเป็นคีช อีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยบริบทชัดเจนน่าดูชม เรียกว่าฉลาดเอาใจทั้งคนชอบตรรกะ และคนไม่ชอบตรรกะ
การผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์น่าจะได้ผลดีในเชิงเศรษฐกิจ แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลดีในเชิงศิลป์หรือไม่ หรือหากมองในมุมกว้างเราอาจต้องยอมรับแล้วว่าพาณิชย์ศิลป์แบบคีชนั้นได้เริ่มฝังรากของตัวเองกลายเป็นศิลปะร่วมสมัย เพราะหันมองไปรอบกายอย่างไรเสียคีชก็มีมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดเอเชีย ตลาดยุโรป หรือทางฝั่งอเมริกา.. อ๊ะ....ไม่เชื่อลองหยิบพวงกุญแจที่มีตุ๊กตาออกมาดูแล้วคิดว่าเจ้าหมีพูห์มันเกี่ยวกับกุญแจอย่างไร หมีเฝ้าบ้านได้เหรอ? ถ้าเป็นพวงกุญแจรูปขุนแผนก็ว่าไปอย่างเพราะพี่แกมีคาทาปลดล็อคกลอนประตูได้...
สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บริโภคว่าจะเลือกแบบไหน จะมีรากหรือไม่มีนั้นสำคัญอย่างไร ต้นไม้บางต้นอาศัยรากแก้ว บางต้นอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้ราก คุณภาพของงานศิลปะในยุค Post Modern ไม่ได้อยู่ที่ตัวศิลปินอีกแล้ว แต่อยู่ที่ผู้เสพย์ว่าจะดื่มด่ำกำซาบขนาดไหน
แผ่ว....แผ่ว
วันเวลาผ่านไป
เหลืออะไรในชีวิต
งอกแล้วตาย หายแล้วอยู่...
ลองตรองดู สลดจิต
..............
เดินสวนกัน แล้วลืมไป
ความเยาว์วัย สลายสิ้น
ไม่ทิ้งกลิ่น แห่งเดียงสา
.............
จะร้อนรุ่ม สุมในอก
ลนละเมอ และเพ้อพก
บินอย่างนก แล้วตกอย่างฝุ่น
อณูจุณก็ไม่เหลือ
...............
นาทีนี้ จะนับหนึ่ง
ก้าวให้ถึง จังหวะร้อย
นาทีที่ร้อย.... ใช่ขึ้นร้อยหนึ่ง
เราบอกว่าถึง ...
ชะตาบอกว่าเริ่มใหม่
..........
เริ่มใหม่ ...
ด้วยลมหายใจดุจเดิม
แผ่ว
แผ่ว
แล้วก็
เก้า
แล้วก็
สิบ
เห็นอะไร.. ณ ลิบลิบ
อยู่ระยิบ เส้นชัยหรือ?
เราบอกไม่
ใครบอกใช่...
วิ่งต่ออีกหน่อย
ทะยอยก่อ
ยังไม่พอ...
.....
อวสาน
เหลืออะไรในชีวิต
งอกแล้วตาย หายแล้วอยู่...
ลองตรองดู สลดจิต
..............
เดินสวนกัน แล้วลืมไป
ความเยาว์วัย สลายสิ้น
ไม่ทิ้งกลิ่น แห่งเดียงสา
.............
จะร้อนรุ่ม สุมในอก
ลนละเมอ และเพ้อพก
บินอย่างนก แล้วตกอย่างฝุ่น
อณูจุณก็ไม่เหลือ
...............
นาทีนี้ จะนับหนึ่ง
ก้าวให้ถึง จังหวะร้อย
นาทีที่ร้อย.... ใช่ขึ้นร้อยหนึ่ง
เราบอกว่าถึง ...
ชะตาบอกว่าเริ่มใหม่
..........
เริ่มใหม่ ...
ด้วยลมหายใจดุจเดิม
แผ่ว
แผ่ว
แล้วก็
เก้า
แล้วก็
สิบ
เห็นอะไร.. ณ ลิบลิบ
อยู่ระยิบ เส้นชัยหรือ?
เราบอกไม่
ใครบอกใช่...
วิ่งต่ออีกหน่อย
ทะยอยก่อ
ยังไม่พอ...
.....
อวสาน
ความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพุทธ
จากการสังเกตพฤติกรรมความเชื่อของบุคคลทั่วไป ไม่ใช่คนมีความรู้อย่างเราๆนะ
1.ศาลพระภูมิ(พราหมณ์) พระเครื่อง สักยันตร์(พุทธปลอม การเอาศาสนามาหาประโยชน์เข้าตน) กุมารทอง(คุณไสย) รวมอยู่ในความเชื่อพุทธ
2. พ่อแม่ทำผิด ถือว่าถูก ให้หลับหูหลับตาเชื่อ หรือปล่อยเลยตามเลย เพราะเขาเป็นพ่อแม่เรา
(ความเชื่อเรื่องวัยวุฒิมาจากวัฒนธรรมโบราณ หาใช่พุทธที่แท้ไม่)
3. ศีล 5 มีง่ายๆแค่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ทำผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า
ที่จริงการทำให้คนอื่นเดือดร้อน การโกงนิดๆหน่อย การไปกิ๊กกับคนมีแฟน พูดจาแดกดัน ส่อเสียด เล่นยา ขายไพ่
ขายอบายมุขโดยตรงและโดยอ้อมก็ผิดหมดแล้ว!!
4. การแผ่เมตตาทำได้เฉพาะกับคนตาย ความจริงทำได้กับทุกคน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องท่องบทก็ได้ ขอให้จิตตั้งมั่นเป็นพอ
5. การห้อยพระจะช่วยกันผีได้ - ผีจะมาหรือไม่ อยู่ที่กรรมเวรของเรา และจิตใจเราล้วนๆ พระไม่ได้ช่วยอะไรเลย
6. กามารมณ์ไม่ใช่เรื่องของคนธรรมะธรรมโม - กามารมณ์เป็นอุปสรรคต่อการบวช แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อปัญญาหรือการบรรลุธรรม แม้ในขั้นโสดาบัณก็ตาม
7. พระไตรปิฎก ถูกหมดทุกข้อ - กาลามสูตรระบุว่าไม่มีอะไรถูกหมด ต้องฟังหูไว้หู และใช้ปัญญาดูเอาเอง
8. ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย - นี่ก็มาจากความเชื่อเก่าของอินเดียที่กว่าผู้หญิงบาปหนากว่า... พระพุทธองค์เองไม่เคยพูดว่าเพศใดเหนือกว่า!! จริงๆนะ!!
9.พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายของประเทศอินเดีย - เทียบตามศักดิ์ปัจจุบันน่าจะเทียบได้กับลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ลูกอธิบดี ลูกรัฐมนตรีมากกว่า
10. พุทธะ แปลว่าปัญญา ...ศาสนาพุทธจึงแปลว่า ศาสนาที่ยึดปัญญาเป็นหลัก ซึ่งอยู่บนสติ การเชื่อตามๆกันนอกจากจะนำชีวิตไปในทางผิดแล้ว ยังพาให้ศาสนาเสื่อมอีกด้วย
อนุโมทนา!!
1.ศาลพระภูมิ(พราหมณ์) พระเครื่อง สักยันตร์(พุทธปลอม การเอาศาสนามาหาประโยชน์เข้าตน) กุมารทอง(คุณไสย) รวมอยู่ในความเชื่อพุทธ
2. พ่อแม่ทำผิด ถือว่าถูก ให้หลับหูหลับตาเชื่อ หรือปล่อยเลยตามเลย เพราะเขาเป็นพ่อแม่เรา
(ความเชื่อเรื่องวัยวุฒิมาจากวัฒนธรรมโบราณ หาใช่พุทธที่แท้ไม่)
3. ศีล 5 มีง่ายๆแค่ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ทำผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มเหล้า
ที่จริงการทำให้คนอื่นเดือดร้อน การโกงนิดๆหน่อย การไปกิ๊กกับคนมีแฟน พูดจาแดกดัน ส่อเสียด เล่นยา ขายไพ่
ขายอบายมุขโดยตรงและโดยอ้อมก็ผิดหมดแล้ว!!
4. การแผ่เมตตาทำได้เฉพาะกับคนตาย ความจริงทำได้กับทุกคน ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องท่องบทก็ได้ ขอให้จิตตั้งมั่นเป็นพอ
5. การห้อยพระจะช่วยกันผีได้ - ผีจะมาหรือไม่ อยู่ที่กรรมเวรของเรา และจิตใจเราล้วนๆ พระไม่ได้ช่วยอะไรเลย
6. กามารมณ์ไม่ใช่เรื่องของคนธรรมะธรรมโม - กามารมณ์เป็นอุปสรรคต่อการบวช แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อปัญญาหรือการบรรลุธรรม แม้ในขั้นโสดาบัณก็ตาม
7. พระไตรปิฎก ถูกหมดทุกข้อ - กาลามสูตรระบุว่าไม่มีอะไรถูกหมด ต้องฟังหูไว้หู และใช้ปัญญาดูเอาเอง
8. ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชาย - นี่ก็มาจากความเชื่อเก่าของอินเดียที่กว่าผู้หญิงบาปหนากว่า... พระพุทธองค์เองไม่เคยพูดว่าเพศใดเหนือกว่า!! จริงๆนะ!!
9.พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายของประเทศอินเดีย - เทียบตามศักดิ์ปัจจุบันน่าจะเทียบได้กับลูกชายผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ลูกอธิบดี ลูกรัฐมนตรีมากกว่า
10. พุทธะ แปลว่าปัญญา ...ศาสนาพุทธจึงแปลว่า ศาสนาที่ยึดปัญญาเป็นหลัก ซึ่งอยู่บนสติ การเชื่อตามๆกันนอกจากจะนำชีวิตไปในทางผิดแล้ว ยังพาให้ศาสนาเสื่อมอีกด้วย
อนุโมทนา!!
วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553
ธรรมชาติของ Waterhouse

ขณะก้าวเข้าไปในห้องแสดงภาพเขียนของศิลปินใหญ่แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 19 อย่างเจ ดับเบิลยู วอเทอร์เฮาส์ (J.W. Waterhouse) ความเย็นยะเยือกก็เข้ามาเยือน ภาพเขียนเกือบร้อยภาพแขวนเรียงอยู่ในห้องห้าห้อง รู้สึกเหมือนค่อยๆก้าวลงคลองกลางป่าใหญ่ในฤดูใบไม้ร่วง สีเขียวปนน้ำตาลแทรกซึมในอากาศ ฉันเริ่มสงสัยว่าเหล่านี้เป็นเพียงภาพเขียนหรือโลกอีกโลกหนึ่งกัน
เจ ดับเบิลยู วอเทอร์เฮาส์เป็นศิลปินชาวอังกฤษ มีชีวิตอยู่ในช่วงปีค.ศ. 1849 - 1917 หรือพ.ศ. 2392 – 2460 เขาเรียนศิลปะจากผู้เป็นบิดา และจบการศึกษาจาก Royal Academy Schools เลื่องชื่อในด้านการวาดภาพวรรณคดีอังกฤษโดยการดึงนางในวรรณคดีมาประกอบกับฉากธรรมชาติ เช่นภาพนางเงือก (Mermaid) ภาพนางพราย (Nymph) รวมถึงภาพ Lady of Shalot
ที่ว่าวอเทอร์เฮาส์เขียวอย่างเป็นธรรมชาตินั้นก็เพราะภาพเกือบทุกภาพของเขาวาดขึ้นในมุมมองจากสายตาของบุคคลที่สาม
แสดงความเป็นธรรมชาติของตัวละครท่ามกลางสภาพแวดล้อมธรรมชาติ
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในอาภรณ์สวยงามของพวกเธอนั้นล้วนแสดงสีหน้าอาลัยอาวรณ์
โหยหา โศกซึ้ง ชวนให้รู้สึกเศร้าไปด้วย
น่าจะเป็นความอ่อนแอที่อิสตรีต้องการปกปิด แต่กลับหลบสายตาของจิตรกรไม่พ้น
ความเขียวของวอเทอร์เฮ้าส์คือการวาดภาพแนวธรรมชาติ (Naturalism) ภาพทุกภาพของเขามีน้ำเป็นองค์ประกอบตามชื่อ และแสดงฉากสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็น น้ำตก คลอง มหาสมุทร ป่าเขาลำเนาไพร วอเทอร์เฮ้าส์เองก็คงไม่คาดว่าอีกร้อยกว่าปีฉากหลังในภาพวาดจะหาดูได้ยากเต็มที
ปัจจุบันหากจิตรกรอังกฤษเองอยากวาดภาพป่าเขาลำเนาไพรที่สมบูรณ์ขนาดนี้ คงต้องขับรถออกไปไกลมากหรือไม่ก็คงได้แค่เปิดหนังสือดู สุดท้ายหลายรายก็อาจล้มเลิกความพยายาม กลับมาวาดทั้งคน ทั้งตึก ทั้งต้นไม้ และหุ่นยนต์รวมไว้ในภาพเดียว ซึ่งก็สะท้อนภาพของศิลปะยุคโพสท์โมเดิร์นอีกข้อ
ศิลปะของวอเทอร์เฮ้าส์นั้นจัดอยู่ในกลุ่ม Pre-Raphaelite ซึ่งแม้จะโด่งดังเป็นพลุก็ได้รับคำวิจารณ์จากนักวิพากย์ศิลป์หลายคนว่าขาด Self-Involvement หรือการถ่ายทอดตัวตนลงในเนื้องาน ต่างจากศิลปินเพื่อนร่วมชั้นอีกสองคน นั่นคืออัลเฟรด กิลเบิร์ต (Alfred Gilbert) และ Hamo Thornycroft ซึ่งสร้างประติมากรรมจากความรู้ความคิดของตนโดยตรง
โดยจุดประสงค์ของการสร้างงานแล้ว วอเทอร์เฮ้าส์เองเคยกล่าวว่า เขาเป็นเพียงผู้เล่าเรื่องจากภาพที่เขาเห็นโดยลำพัง ดังนั้นความตั้งใจของเขาจึงเป็นเพียงการวาดเพื่อบรรยาย หาใช่สร้างพื้นที่เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนเข้าไปเกินกว่าเนื้อหาวรรณคดี
หากมองในมุมของชาวตะวันออกแบบดั้งเดิมแล้วไซร้ การขาดๆแหว่งๆของ Self-involvement นั้นเป็นลักษณะที่ดีมากข้อหนึ่ง เพราะศิลปะย่อมยิ่งใหญ่กว่าศิลปิน
ไม่แน่ว่าถ้ายุคนั้นหากวอเทอร์เฮาส์ได้มาแสดงงานในประเทศแถบเอเชีย เขาอาจมีชื่อเสียงกว่านี้ ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็เป็นได้!
ที่มา
http://www.royalacademy.org.uk/exhibitions/waterhouse/
J.W. Waterhouse: The Modern Pre-Raphaelite, the royal academy - london
สงครามกลางเมืองกับโลกานุวัตน์
ปัจจุบันประเด็นโลกานุวัตน์หรือ Globalisation แทบจะเป็นเรื่องที่คนไม่พูดถึง
ไม่ใช่เพราะไร้ตัวตนหากแต่เป็นเพราะเราหายใจความเป็นโลกานุวัตน์เข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันจนแยกจากชีวิตประจำวันไม่ออก
โลกค่อยๆแบนลง แม้ใครจะบอกว่าโลกเล็กลงแต่ฉันเห็นว่าโลกกลับใหญ่ขึ้นทุกขณะ เพราะว่ามนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมั่วซั่วและทั่วถึง ทุกมุมโลกทุกชาติ ภาษา ศาสนาและวัฒนธรรม ถูกร้อยเข้าด้วยกันเป็นวงกลมอย่างไม่น่าเชื่อจึงมีโลกใบใหญ่ให้รู้และเรียนมากขึ้น… หมู่บ้านเล็กๆที่สมาชิกชุมชนแต่งงานกันตั้งแต่อายุ 15 มีครอบครัว ขี่จักรยานไปส่งลูกในระยะยี่สิบนาที กลายร่างเป็นสังคมร้านเกมส์และอินเตอร์เน็ต สาวน้อยอายุ 15 และหนุ่มน้อยวัน 18 อีกซีกโลกกำลังคุยกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ … มนุษย์แม้มีร่างกายอยู่กับปัจจุบันแต่ก็อยู่ในพื้นที่อื่นเช่นกัน
(อ้างอิงจากการบรรยายหัวข้อ Spatial Globalisation,2009 โดย Architecture Association คือคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ใช้สอยเดียวอีกต่อไปด้วยระบบการสื่อสาร)
ณ ขณะนี้การโฟนอินนำขบวนผู้ชุมนุมใจกลางเมืองหลวงแห่งอุษาคเนย์อย่างกรุงเทพฯ เป็นเรื่องธรรมดา โทรศัพท์ลับจากฮุนเซ็นถึงทักษิณไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปจึงเกิดพันธมิตรและศัตรูข้ามชาติขึ้นโดยง่าย
เกิดการแทรกแซงของประเทศเพื่อนบ้านที่รอทำลายบ้านเมืองเรา ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลพม่าและรัฐบาลเขมรส่งสายสืบเข้ามากินอยู่ มาทำงานในประเทศไทยเป็นประจำเพื่อรอจังหวะทางการเมือง (ความเชื่อที่ได้ยินมา)
โลกานุวัตน์เป็นเครื่องมือสู่สงครามกลางเมือง เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้จำกัดวงสังคมและพันธกิจเพียงที่ที่ตนอยู่ แต่กลับแสวงหาผู้ร่วมอุดมการณ์ ……แม้ผู้ร่วมอุดมการณ์ล้วนอยู่ต่างพื้นที่ก็ยังสามารถสร้างกลุ่มได้โดยง่ายเกิดเป็นสงครามต่างความเชื่อคล้ายสงครามศาสนาในยุโรปยุคกลาง ผิดแต่สงครามนี้เกิดได้รวดเร็ว แยบยลและซับซ้อนกว่า อยู่ที่ว่าใครมีเงินซื้อเครื่องมือสื่อสารโดยเราไม่อาจทราบเลยว่ามีเสื้อสีอะไรอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงบ้าง และเป็นอัตราส่วนเท่าไร ……
สงครามกลางเมือง ณ ปัจจุบันเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์เพื่อหาฮีโร่และหาแพะโดยดึงคนทั่วโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากสนุกๆนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์เบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าอาวุธ กลุ่มรับจ้างก่อจลาจลและผู้บงการที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่โดยมีกรุงเทพเป็นสนามรบ
สงครามนี้เป็นเพียงวงจรที่มาบรรจบในทุกๆ 40-60ปี เพระมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่าง เป็นสัตว์ที่รักอำนาจและชอบความรุนแรง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนไทยอย่างเดียวหากแต่เป็นความเก็บกดที่ต้องการที่ระบายออกของประเทศอื่นที่รอรับผลประโยชน์ด้วย
ไม่ใช่เพราะไร้ตัวตนหากแต่เป็นเพราะเราหายใจความเป็นโลกานุวัตน์เข้าไปทุกเมื่อเชื่อวันจนแยกจากชีวิตประจำวันไม่ออก
โลกค่อยๆแบนลง แม้ใครจะบอกว่าโลกเล็กลงแต่ฉันเห็นว่าโลกกลับใหญ่ขึ้นทุกขณะ เพราะว่ามนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างมั่วซั่วและทั่วถึง ทุกมุมโลกทุกชาติ ภาษา ศาสนาและวัฒนธรรม ถูกร้อยเข้าด้วยกันเป็นวงกลมอย่างไม่น่าเชื่อจึงมีโลกใบใหญ่ให้รู้และเรียนมากขึ้น… หมู่บ้านเล็กๆที่สมาชิกชุมชนแต่งงานกันตั้งแต่อายุ 15 มีครอบครัว ขี่จักรยานไปส่งลูกในระยะยี่สิบนาที กลายร่างเป็นสังคมร้านเกมส์และอินเตอร์เน็ต สาวน้อยอายุ 15 และหนุ่มน้อยวัน 18 อีกซีกโลกกำลังคุยกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ … มนุษย์แม้มีร่างกายอยู่กับปัจจุบันแต่ก็อยู่ในพื้นที่อื่นเช่นกัน
(อ้างอิงจากการบรรยายหัวข้อ Spatial Globalisation,2009 โดย Architecture Association คือคนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพื้นที่ใช้สอยเดียวอีกต่อไปด้วยระบบการสื่อสาร)
ณ ขณะนี้การโฟนอินนำขบวนผู้ชุมนุมใจกลางเมืองหลวงแห่งอุษาคเนย์อย่างกรุงเทพฯ เป็นเรื่องธรรมดา โทรศัพท์ลับจากฮุนเซ็นถึงทักษิณไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไปจึงเกิดพันธมิตรและศัตรูข้ามชาติขึ้นโดยง่าย
เกิดการแทรกแซงของประเทศเพื่อนบ้านที่รอทำลายบ้านเมืองเรา ยกตัวอย่างเช่น รัฐบาลพม่าและรัฐบาลเขมรส่งสายสืบเข้ามากินอยู่ มาทำงานในประเทศไทยเป็นประจำเพื่อรอจังหวะทางการเมือง (ความเชื่อที่ได้ยินมา)
โลกานุวัตน์เป็นเครื่องมือสู่สงครามกลางเมือง เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้จำกัดวงสังคมและพันธกิจเพียงที่ที่ตนอยู่ แต่กลับแสวงหาผู้ร่วมอุดมการณ์ ……แม้ผู้ร่วมอุดมการณ์ล้วนอยู่ต่างพื้นที่ก็ยังสามารถสร้างกลุ่มได้โดยง่ายเกิดเป็นสงครามต่างความเชื่อคล้ายสงครามศาสนาในยุโรปยุคกลาง ผิดแต่สงครามนี้เกิดได้รวดเร็ว แยบยลและซับซ้อนกว่า อยู่ที่ว่าใครมีเงินซื้อเครื่องมือสื่อสารโดยเราไม่อาจทราบเลยว่ามีเสื้อสีอะไรอยู่ในกลุ่มเสื้อแดงบ้าง และเป็นอัตราส่วนเท่าไร ……
สงครามกลางเมือง ณ ปัจจุบันเป็นเพียงการสร้างสถานการณ์เพื่อหาฮีโร่และหาแพะโดยดึงคนทั่วโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากสนุกๆนี้มีผู้ได้รับผลประโยชน์เบื้องหลังอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าอาวุธ กลุ่มรับจ้างก่อจลาจลและผู้บงการที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่โดยมีกรุงเทพเป็นสนามรบ
สงครามนี้เป็นเพียงวงจรที่มาบรรจบในทุกๆ 40-60ปี เพระมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เป็นสัตว์ที่กินทุกอย่าง เป็นสัตว์ที่รักอำนาจและชอบความรุนแรง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะคนไทยอย่างเดียวหากแต่เป็นความเก็บกดที่ต้องการที่ระบายออกของประเทศอื่นที่รอรับผลประโยชน์ด้วย
วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2553
รักในหลวง?

ไม่ทราบว่าคนไทยส่วนใหญ่ได้ Fwd mail ที่ดิฉันเพิ่งได้รับหรือไม่ Fwd mail ดังกล่าวมีข้อความดังนี้
"ด่วนที่สุด
ดูแล้วขนลุกไปทั้งตัวเลย ...
ที่ได้รับ mail นี้ ช่วยกันส่งต่อให้คนที่รักในหลวงทุกคนได้เห็นโฉมหน้าคนทำ website หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งพี่-น้องเป็นตระกูล อึ๊งภากรณ์ ชื่อ จอห์น กับ ใจ ลูกชาย อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์เสียดายเสียชาติเกิด ไม่น่าเกิดมาเป็นลูกของบุคคลที่สร้างประโยชน์และความดีงามมากมายไว้ให้กับประเทศไทยอย่าง อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์เสียใจแทนนิสิตจุฬา โดยเฉพาะคณะรัฐศาสตร์ที่มี อ.ชั่วๆ ปากว่าตาขยิบ ที่ชื่อ ใจ อึ๊งภากรณ์ รับเงินไอ้เหลี่ยมมาทำ web หมิ่นพระบรมเดชานุภาพใครไม่รู้ว่า web มันเลวแค่ไหนเข้าไปดูเลยที่ web ประชาไทย
ข้อมูลที่ได้ มาจากสันติบาลไม่มีมั่วนิ่ม
รักชาติ รักในหลวง ช่วยกันต่อต้านคนพวกนี้
ปล. มันบอกด้วยว่าตัวมันไม่ใช่คนไทย เป็นลูกครึ่ง จีน-อังกฤษ แล้วมันมีสิทธ์อะไร มาลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูน"
อ่านอีเมลแล้ว และดูภาพทั้งหมดแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรเลยนอกจากว่าทำไมคนพิมพ์อีเมลถึงไร้สติปัญญาขนาดนี้
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่รักสถาบันกษัตริย์ เคยผ่านตาคลิปประเภทดังกล่าวมาแล้วหลายครั้งซึ่งนานมากแล้วตั้งแต่ปี 2006 คลิปพวกนี้ถูกลบไปแล้วและทาง YOUTUBE ได้สรุปว่าผู้โพสเป็นเด็กอเมริกันมือบอนกลุ่มหนึ่ง
เด็กกลุ่มนี้เคยออกคลิปที่ถ่ายหน้าตัวเอง พูดเอง มาลงใน YOUTUBE ประเด็นว่าด้วย Freedom of Speech ซึ่งไม่เห็นด้วยว่าสถานที่ใดในโลกจะมีพื้นที่ว่างที่วิจารณ์ไม่ได้
ภายหลังเด็กกลุ่มนี้ออกคลิปขอโทษประชาชนชาวไทยมาเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายคลิปทั้งหมดได้ถูกถอดออกจากเว็บไซต์เพื่อให้เรื่องราวจบๆไปเสีย
เด็กอเมริกันเหล่านั้นควายมากที่ทำเช่นนี้ เพียงเพราะคุณเชื่อในเสรีภาพทางการกระทำและความคิด ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรุกล้ำ หรือลบหลู่คนอื่นได้ นี่เป็นปัญหาหนึ่งของสันดานอเมริกันที่ประชากรโลกทั้งมวลรังเกียจยิ่งนัก
เรื่องเด็กอเมริกันที่ทำคลิปจบไปแล้ว... กลับมาที่ประเด็นอีเมล
ดิฉันไม่เห็นภาพอะไรในเว็บประชาไท แม้จะหาแล้วหาอีกตามที่ FWD email ดังกล่าว ไม่ทราบเช่นกันว่า
ข้อมูลที่อีเมลระบุว่าข้อมูลนำมาจากตำรวจสันติบาลนั้นคือส่วนไหน หากเป็นส่วนที่ อ.ใจ พูดจาบจ้วง หรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์อันเป็นการผิดกฏหมายไทย ดิฉันไม่เถียง ก่อนหน้าที่อ.ใจจะย้ายไปอังกฤษเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง มีการเสวนาวิชาการเกิดขึ้นจริง ณ หลายมุมของอังกฤษ ตรงนี้ตำรวจสันติบาลยืนยันได้
แต่เรื่องคลิปเมื่อ 4 ปีก่อนที่ไม่ทราบว่าคนไทยควายๆยกมาเป็นประเด็นดิฉันเห็นว่าคือการสร้างแพะของสังคมซึ่งเป็นผู้ที่สังคมไทยได้ลงโทษไปแล้ว ...นานมากแล้วและไม่ได้มีผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องเป็นราว หนำซ้ำอาจทำให้ท่าทีของผู้บูชาสถาบันกษัตริย์ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นด้วยซ้ำ
ประเด็นการด่าในอีเมลก็ปราศจากการยั้งคิดด้วยเหตุผล เช่น
"ปล. มันบอกด้วยว่าตัวมันไม่ใช่คนไทย เป็นลูกครึ่ง จีน-อังกฤษ แล้วมันมีสิทธ์อะไร มาลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูน"
การเป็น หรือ ไม่เป็นคนไทยเพื่อจะวิจารณ์สังคมไทย ไม่ใช่ประเด็นที่ต้องนำมาเล่น
หากใช้ตรรกศาสตร์ในการคิดตามข้อความด้านบน คุณกำลังหมายถึง
เราต้องเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นเพื่อที่จะมีสิทธิ์ลบหลู่สถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูนใช่หรือไม่ อย่างไร?
ผู้เขียนอีเมลประกาศตัวเป็นผู้พิทักษ์ในหลวงและสถาบันกษัตริย์ ประกาศว่าตัวเองรักชาติโดยการประจานผู้ที่ลบหลู่สัญลักษณ์ของชาติ...
ไม่ผิดค่ะ ดิฉันก็เคยด่าเพื่อนอเมริกัน อังกฤษ ควายๆ ที่วิจารณ์สถาบันสูงสุดของชาติ
แต่ถ้าคุณจะทำน่าจะทำให้ฉลาดและมีข้อมูลที่แน่น สร้างสรรค์ ไม่ต้องทำด้วยอารมณ์
คุณบอกว่าคุณรักสถาบันกษัตริย์ คุณถามตัวเองบ้างไหมว่าเพราะอะไร?
เพราะสถาบันกษัตริย์สร้างความเป็นปึกแผ่นให้ชาติ ดังนั้นหมายความว่าคุณรักความสงบมั่นคง
แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าจะจากสื่อแขนงไหน... ทำไมต้องมีคนคอยกวนน้ำให้ขุ่น
ถ้าคุณรักสถาบันกษัตริย์เพราะความมั่นคง คุณต้องเริ่มสร้างความมั่นคงให้สังคมย่อยๆรอบตัวแล้วล่ะ... ไม่ใช่รับสื่อแบบไม่กลั่นกรอง เชื่อตามๆกันไป ด่าตามๆกันไป เกลียดกันเป็นวงกลม
กฤษณมูรติกล่าวว่า ความรักไม่ได้ตรงข้ามกับความเกลียดชัง คุณรักในหลวง หากความรักของคุณบริสุทธิ์พอคุณจะไม่เกลียดคนที่เคยลบหลู่หรือจาบจ้วงพระองค์ท่าน ... และจะกลั่นกรองทุกครั้ง คุณจะมองคุณค่าของคนและสร้างมิตรภาพ คุณจะไม่เล่นพรรคเล่นพวก ใครจะหน้าเหลี่ยม ใครจะเสื้อแดง.. ใครจะเสื้อเหลือง...
คุณจะไม่สนใจ และแน่นอน คุณจะไม่ทำให้ย่านธุรกิจในกรุงเทพ หรือสนามบินต้องปิดตัวลง
วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553
ทุก(ข์)ชีวิต
อาจจะเป็นเรื่องตลกที่คนหนึ่งคนอยู่ก็อยากจะตายหรือตัดตัวเองออกจากสังคมโดยสิ้นเชิง เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จะอย่างไรเราก็อยู่รอดไม่ได้ยกเว้นว่าความคิดของเราจะล่วงล้ำขอบความเป็นคนไปแล้ว ซึ่งอาจจะดีสุดขั้วหรือชั่วสุดขีด
ความรู้สึกของมนุษย์ล้วนมาจากสังขาร 5 คือประสาทสัมผัส สงสัยว่าหากขาดสิ่งซึ่งเป็นเครื่องสัมผัสไปทั้งสิ้นเราคงหมดความทุกข์ หมดความสุข เจริญกว่าต้องมานั่งหรือนอนลุ้นว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดีกว่าหรือแย่กว่าวันพรุ่งนี้
ชีวิตเป็นเรื่องน่าสงสาร คนเรายากดีมีจนล้วยประกอบไปด้วยทุกข์
คนจนเฝ้าคิดว่าจะอดอยากตาย คนรวยเฝ้าระแวงคนขโมยทรัพย์ เด็กเฝ้าอยากเติบโต ผู้ใหญ่เฝ้าหาทางเป็นใหญ่เพื่ออิสรภาพแบบเด็กๆ ผู้หญิงแสวงหารัก ผู้ชายแสวงหาทางปล่อยรัก

แม้ในพระคัมภีร์ไบเบิลยังจารึกไว้ว่า
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”
ซึ่งระบุความทุกข์ความกังวลไว้ชัดเจนว่าย่อมมีอยู่ในทุกวัน เพียงแต่เราจะประคองจิตอย่างไรให้อยู่กับปัจจุบันได้ เป็นหลักการที่ไม่ต่างจากการกำหนดจิตของทางฝรั่งพุทธ
แล้วการอยู่กับปัจจุบันนั้นต่างกับการอยู่ไปวันๆอย่างไร?
มนุษย์ผู้กรำชีวิตอาจต้องค้นคว้าหาความหมายแทบตลอดชีวิตเพื่อลองผิดลองถูก และศาสนาอาจไม่ได้ให้คำตอบทั้งหมดที่จะปิดบาดแผลหรือดึงเราสู่ความสมดุลนั้นได้ ไม่มีใครทำได้นอกจากตัวเราเอง
ความทุกข์ไม่เคยมาหาเรา..แต่มันอยู่กับเรามาตลอด..
เราอาจจำไม่ได้ว่าเราเคยอึดอัดเพียงใดในท้องแม่ เคยร้องไห้ในโรงเรียนอนุบาล เคยเครียดตอนสอบตก หรือผิดหวังในความรัก…
ความทุกข์ไม่เคยจากไปไหนเพราะเรามีต่อมสร้างทุกข์ติดตัวมาทุกคน
เรื่องบัดซบของชีวิตอยู่ที่ต่อมสร้างทุกข์เป็นต่อมเดียวกับต่อมที่ให้ความสุขและเรานั่นเองที่เสพย์ติดความสุขลมๆแล้ง.. ขณะที่ชาวพุทธทำบุญเผื่ออนาคต ชาวคริสต์และมุสลิมเฝ้าอธิษฐานขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ความสุขมาหา มาอยู่กับเรานานๆ มาเผื่อแผ่ให้คนที่เรารัก
เราเฝ้าเอาอกเอาใจตัวความสุขไม่ให้จากไปไหน แต่ความสุขมันไม่เคยจากเราเช่นกัน มันนอนอยู่นิ่งๆอย่างนั้น ณ ต่อมรับอารมณ์ที่ตั้งอยู่บนฐานความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง
เราทุกข์ เราสุข อยู่ข้างในตลอดเวลาคล้ายธาตุที่หมุนเวียนไปตามตัวกระตุ้น สุดท้ายตัวเราเองเป็นเพียงสารประกอบชีวภาพที่หากตัดสมองแค่บางเซลล์เราอาจไม่เหลือความเป็นตัวเองที่ใครๆจำได้ด้วยซ้ำ…
ไร้ค่าขนาดนี้.. คิดว่ามนุษยชาติควรมีอยู่ไหม?
ความรู้สึกของมนุษย์ล้วนมาจากสังขาร 5 คือประสาทสัมผัส สงสัยว่าหากขาดสิ่งซึ่งเป็นเครื่องสัมผัสไปทั้งสิ้นเราคงหมดความทุกข์ หมดความสุข เจริญกว่าต้องมานั่งหรือนอนลุ้นว่าวันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดีกว่าหรือแย่กว่าวันพรุ่งนี้
ชีวิตเป็นเรื่องน่าสงสาร คนเรายากดีมีจนล้วยประกอบไปด้วยทุกข์
คนจนเฝ้าคิดว่าจะอดอยากตาย คนรวยเฝ้าระแวงคนขโมยทรัพย์ เด็กเฝ้าอยากเติบโต ผู้ใหญ่เฝ้าหาทางเป็นใหญ่เพื่ออิสรภาพแบบเด็กๆ ผู้หญิงแสวงหารัก ผู้ชายแสวงหาทางปล่อยรัก

แม้ในพระคัมภีร์ไบเบิลยังจารึกไว้ว่า
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ”
ซึ่งระบุความทุกข์ความกังวลไว้ชัดเจนว่าย่อมมีอยู่ในทุกวัน เพียงแต่เราจะประคองจิตอย่างไรให้อยู่กับปัจจุบันได้ เป็นหลักการที่ไม่ต่างจากการกำหนดจิตของทางฝรั่งพุทธ
แล้วการอยู่กับปัจจุบันนั้นต่างกับการอยู่ไปวันๆอย่างไร?
มนุษย์ผู้กรำชีวิตอาจต้องค้นคว้าหาความหมายแทบตลอดชีวิตเพื่อลองผิดลองถูก และศาสนาอาจไม่ได้ให้คำตอบทั้งหมดที่จะปิดบาดแผลหรือดึงเราสู่ความสมดุลนั้นได้ ไม่มีใครทำได้นอกจากตัวเราเอง
ความทุกข์ไม่เคยมาหาเรา..แต่มันอยู่กับเรามาตลอด..
เราอาจจำไม่ได้ว่าเราเคยอึดอัดเพียงใดในท้องแม่ เคยร้องไห้ในโรงเรียนอนุบาล เคยเครียดตอนสอบตก หรือผิดหวังในความรัก…
ความทุกข์ไม่เคยจากไปไหนเพราะเรามีต่อมสร้างทุกข์ติดตัวมาทุกคน
เรื่องบัดซบของชีวิตอยู่ที่ต่อมสร้างทุกข์เป็นต่อมเดียวกับต่อมที่ให้ความสุขและเรานั่นเองที่เสพย์ติดความสุขลมๆแล้ง.. ขณะที่ชาวพุทธทำบุญเผื่ออนาคต ชาวคริสต์และมุสลิมเฝ้าอธิษฐานขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้ความสุขมาหา มาอยู่กับเรานานๆ มาเผื่อแผ่ให้คนที่เรารัก
เราเฝ้าเอาอกเอาใจตัวความสุขไม่ให้จากไปไหน แต่ความสุขมันไม่เคยจากเราเช่นกัน มันนอนอยู่นิ่งๆอย่างนั้น ณ ต่อมรับอารมณ์ที่ตั้งอยู่บนฐานความเห็นแก่ตัวของเรานั่นเอง
เราทุกข์ เราสุข อยู่ข้างในตลอดเวลาคล้ายธาตุที่หมุนเวียนไปตามตัวกระตุ้น สุดท้ายตัวเราเองเป็นเพียงสารประกอบชีวภาพที่หากตัดสมองแค่บางเซลล์เราอาจไม่เหลือความเป็นตัวเองที่ใครๆจำได้ด้วยซ้ำ…
ไร้ค่าขนาดนี้.. คิดว่ามนุษยชาติควรมีอยู่ไหม?
วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ความตาย 911

ราวเก้าปีที่แล้วโลกทั้งใบต้องตะลึงเมื่อประเทศมหาอำนาจต้องท่วมน้ำตาด้วยโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
การสังหารหมู่กลางอากาศของเหล่าผู้ก่อการร้ายจนถึงการย่างสดและฝังชนบริสุทธิ์ทั้งเป็นกระชากขวัญไปจากโลกชั่วขณะ
ชีวิตที่สิ้นไปยังทิ้งเงามัจจุราชให้คนรุ่นหลังกับรอยแผลที่ยากจะเยียวยา
สองสัปดาห์ก่อนหน้านั้นฉันไปเยือนอเมริกาครั้งแรกในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน จำได้โดยละเอียดว่าคือวันที่ 29 สิงหาคม 2001 ณ รัฐแมรีแลนด์ ไม่มีใครรู้ที่มาของฉันและคงประหลาดหากฉันจะทราบที่มาของใคร
ไฮสคูลที่แมรีแลนด์เป็นโรงเรียนเถื่อนๆแห่งหนึ่ง จะแปลกก็ตรงที่เต็มไปด้วยนักเรียนผิวดำ กะด้วยสายตาน่าจะอยู่ที่ 70% อีกยี่สิบส่วนเป็นคนสแปนิกที่เหลือคือคนขาว สงครามสีผิวเกิดขึ้นบ้างซึ่งมักจะเป็นคนผิวขาวโดนรุมต่อยจนยับ เอเชียหัวเหลืองอย่างเราๆรวมฉันแล้วมีไม่ถึงห้าคน
วันแรกที่ไปถึงครูใหญ่ออกมาต้อนรับฉันและบอกฉันว่า “เธอต้องเข้าพบนักบำบัดจิต” ฉันปฏิเสธความช่วยเหลือแต่ทางโรงเรียนยังยืนยันพร้อมทั้งบอกด้วยว่า “สภาพจิตของเธอไม่ปกติ ครูต้องช่วยเธอ” ผลจากการยัดเยียดดังกล่าวทำให้ฉันต้องเข้าพบนักจิตบำบัดสัปดาห์ละครั้งครั้งละหนึ่งถึงสองชั่วโมงและบ่อยได้ตามที่ต้องการ
สองสัปดาห์ผ่านไป จำได้ชัดว่าเป็นวันอังคารเวลาประมาณ 11 โมงในคาบวรรณคดีอังกฤษของครูเอแบร์ ตัวละครจากเรื่อง แมคเบ็ธกำลังหายใจอยู่ในหน้ากระดาษ จู่ๆก็มีประกาศจากลำโพงว่าเครื่องบินได้เข้าชนตึกแฝดในมหานครนิวยอร์กและตึกเพนทากอน ครูเอแบร์ยืนอยู่หน้าห้องด้วยอาการตกใจพร้อมเอามือปิดปาก...
“สามีครูทำงานในตึกแฝด!” นักเรียนทั้งห้องเงียบกริบแล้วเงี่ยหูฟังประกาศต่อไปซึ่งน่าระทึกใจยิ่งกว่า เพราะเป็นรายนามผู้เสียชีวิต
เด็กหญิงคนดำหลังห้องนามว่าไอวี่กำมือเพื่อนไว้แน่นด้วยน้ำตาคลอเบ้า เมื่อเสียงประกาศชื่อหนึ่งจบลงเธอร้องไห้โฮโผเข้ากอดเพื่อน เพื่อนสาวบอกคนในห้องเบาๆว่า.... พ่อของเธอเสียชีวิตแล้ว
ผู้อำนวยการโรงเรียนจบประโยคสุดท้ายด้วยคำสั่งให้นักเรียนทุกคนมารวมตัวกันที่โรงอาหารเพื่อดูข่าวจากซีเอ็นเอ็น ครูเอแบร์เล่าให้ฟังก่อนนำนักเรียนออกนอกห้องว่าสามีเธอเพิ่งโทรศัพท์มาบอกว่าเขาแลกเวรกับเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งเพราะรู้สึกไม่สบาย เพื่อนร่วมงานของสามีครูหายสาบสูญไปกับซากตึก!
ฉันไม่เคยเห็นการร้องไห้หมู่ที่มากมายขนาดนี้มาก่อน กลางโรงอาหารที่นักเรียนราวพันคนนำความเศร้ามากองรวมกัน เสียงสะอื้นไม่ขาดห้วงอยู่นานเป็นชั่วโมง พ่อแม่และญาติๆของเพื่อนในโรงเรียนเสียชีวิตไปกว่าร้อยชีวิต โรงอาหารไม่มีกลิ่นอาหารเหมือนวันอื่นๆ พ่อครัวแม่ครัวรีบกลับไปรับลูกจากโรงเรียน หลังเสียงสะอื้นนักเรียนก็ทยอยกันกลับบ้าน
สองวันต่อมาถึงเวลาที่ฉันต้องเข้าพบนักจิตบำบัด วันนั้นห้องที่เคยมีแต่ฉันกลับเต็มไปด้วยเพื่อนๆอีกเกือบสิบคน เรามารวมตัวกันด้วยเหตุผลเดียวคือความสูญเสียอันใหญ่หลวง เราจับมือกันแล้วเล่าเรื่องราวชีวิตของแต่ละคน เรากอดคอกันร้องไห้แม้ไม่เคยรู้จักมักคุ้น เราถูกฝึกให้รู้จักเยียวยาตัวเองและผู้อื่น
นักเรียนทุกคนที่ประสบความสูญเสียต้องมารวมกลุ่มกันสัปดาห์ละครั้งเพื่อติดตามผล เพื่อพยายามยอมรับ แบ่งปันประสบการณ์และเข้าใจความตายให้มากที่สุด
มิสแมรี่นักจิตบำบัดเคยกล่าวไว้ว่าความตายเป็นเพียงการทิ้งบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่เราแบกมาตลอด วันหนึ่งไม่มีเราอาจจะรู้สึกสบายขึ้นมากก็ได้ เมื่อคนที่เรารักจากไปจงยินดีกับเขาและจงทำตัวเองให้มีความสุขและอยู่เผื่อคนที่จากไป ความตายไม่ได้มีความหมายมากไปกว่าการมีชีวิตอยู่ อาจเป็นเพียงเส้นบางๆที่เราอุปโลกน์ให้ตนเองกลัวทั้งที่ความจริงเราอาจจะแค่หายไป...... เท่านั้นเอง!
ประสบการณ์ของคนที่เฉียดตายย่อมต่างกันไปตามพื้นฐานทางวัฒนธรรมแต่โดยรวมไม่ต่างกันนัก
มิสแมรี่เองเคยป่วยและนอนในห้องไอซียูร่วมเดือน เธอเล่าว่า ณ ขณะนั้นเธอเห็นภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าตัวเองตกลงไปในโพรงสีขาวสว่าง ร่วงลงไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เธอเหนื่อยมากอยากให้ถึงก้นหลุมแต่ก็ไม่เคยถึงสักที
และแล้ววันหนึ่งก็มีมือกระชากเธอออกจากโพรงนั้น เป็นเวลาเดียวกับที่เครื่องปั๊มหัวใจกระตุ้นชีพจรเธอให้กลับมีชีวิต ประสบการณ์เฉียดตายของแม่เพื่อนคนหนึ่งก็คล้ายกัน ขณะพยายามเข้าไปช่วยสามีในตึกแฝดเธอสำลักควันของตึกที่กำลังถล่มนานนับนาที ณ เสี้ยวขณะจิตก็เห็นภาพตนเองวิ่งไปยังแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และแล้วก็มีแรงบางอย่างฉุดเธอไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่หน่วยกู้ภัยวิ่งเข้ามาลากเธอออกจากตัวตึก
ฉันและเพื่อนๆในกลุ่มบำบัดพยายามทำความเข้าใจสภาพของชีวิตด้วยสติปัญญาของเด็กวัยรุ่น
เพื่อนหลายคนหันไปลองยาเสพย์ติด หลายคนหมกมุ่นกับกีฬา บางคนต้องทำงานเลี้ยงตัวเพราะไม่มีพ่อแม่ส่งเสีย ขณะที่ตัวฉันเองหลงรักศิลปะอย่างหัวปักหัวปำเมื่อได้พบสัจจะว่าศิลปะคือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์เพื่อแจกจ่ายแก่คนทั้งโลก
โศกนาฏกรรมเมื่อเก้าปีก่อนอาจย้อนกลับมาเมื่อไรก็ได้ ไม่แน่ว่าเราอาจกำลังประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยไม่รู้ตัว อาจเป็นในรูปอาหารสำเร็จรูปหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ฆ่าคนตายด้วยอาวุธชีวภาพ และปัจจัยอีกนานัปการ
ที่ฉันรู้คือทุกคนย่อมเดินทางไปสู่จุดหมายเดียวกัน
และอาจมีความรักที่แท้จริงอยู่ในแสงรำไรที่ปลายอุโมงค์รอให้เราค้นพบ
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
Customization:อัตตาย้อนศร
คำว่า Custmomization นั้นขึ้นมาผงาดอยู่ในวงการการออกแบบและการค้าตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นช่วงยี่สิบปีมานี้เอง เนื่องจากการกระหน่ำยิงของวงการอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้มนุษย์ใช้สินค้าคล้ายๆกัน หลายอย่างที่อุปโภคบริโภคก็หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ!
มนุษย์ยุคเราสามารถตั้งกระทู้ในพันธุ์ทิพย์เกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องเดียวแล้วมีคนอีกสองแสนเข้ามาลงความเห็นและคุยเรื่องเดียวกันได้รู้เรื่อง เลยเถิดไปถึงใส่อารมณ์ด่าพ่อล่อแม่กัน... ก็ไม่แปลกในยุคนี้ แต่หากมองในมุมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ห้าคงเป็นเรื่องผิดวิสัยไม่น้อย
ย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม คำว่า Custom Made หรือสั่งทำเฉพาะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีโรงงานที่สั่งเสื้อทีละร้อยตัวแล้วได้วันนี้ ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ที่เร่งได้ถึงห้าร้อยคันต่อวันอย่างในปัจจุบัน เสื้อหนึ่งตัวต้องเข้าร้านไปวัดและตัด โต๊ะเครื่องแป้งต้องสั่งทำ
ในประวัติศาสตร์ไทยเองก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ เช่น เรื่องราวของถ้วยชามสังคโลกที่มีลายชัดเจนแต่ไม่เหมือนกันสักชิ้น ถ้วยเบญจรงค์ที่สามารถสั่งช่างให้วาดตามต้องการได้ ข้ามไปถึงฝั่งยุโรปที่มีการสั่งทำตู้ ทำเครื่องประดับโดยเฉพาะ เหล่านี้ล้วนจัดเป็น Customization หรือที่เราๆท่านๆเข้าใจกันในปัจจุบันว่าคือการทำสินค้าพิเศษเป็นรายๆไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนใคร
ท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเกิดจากการที่ความต้องการน้อยกว่ากำลังผลิต ปัจจุบันนี้เราผลิตได้เกินความต้องการ ส่งผลให้เกิดลัทธิบริโภคนิยมจนจำเป็นต้องมีวงการโฆษณาที่ฉันทำงานอยู่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มุมน่าคิดคือมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองนั้นกลับไปสู่สิ่งที่คนยุคร้อยกว่าปีที่แล้วไม่มี!
นั่นคือการใช้สินค้าซ้ำๆกันค่อนโลก
เพื่อย้อนศรกลับไปสู่ที่เดิมที่เราเคยยืน การนำอัตลักษณ์คืนมาย่อมเป็นเรื่องขาดไม่ได้ และเพื่อทำให้วงจรการค้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกจึงมีคำโฆษณาโปรยไว้เกร่อว่า “สู่ความเป็นตัวคุณ” หรือ “Be yourself” ก้าวสู่การผลักดันให้ฝูงชนบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ด้วยตัวเองซึ่งอีกนัยหนึ่งอาจเป็นการซื้อสินค้าที่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ! อาทิ โต๊ะพับได้ของ IKEA ซึ่งต้องนำมาต่อเองและทาสีเอง มีป้ายข้างกล่องว่า
“Be yourself, be creative”
เออ … แล้วกูจะซื้อไปทำไม?

การดื่มโค้ก ดื่มเป๊ปซี่ซึ่งเน้นความเป็นอิสระ เต็มที่กับชีวิต สดชื่นแก้กระหายหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคฉลาดขึ้น ตรงข้ามการเสพย์แบรนด์ตามความเคยชินอาจทำให้ท่านไม่เต็มที่กับชีวิตเพราะเป็นเบาหวานหรือโรคกระเพาะ และแน่นอนว่า Coke เองก็เป็นเครื่องดื่มแรกที่มี Limited Edition เพื่อให้ผู้สะสมรู้สึกพิเศษ!
Brand ดังทั้งหลาย เช่น Louis Vuitton, Gucci ฯลฯ นอกจากมีสินค้าตอแหลออกมาจำหน่ายในราคาไม่ย่อมเยาหนำซ้ำยังมีคนนำไปก็อปจนเกร่อแล้ว ยังมีการนำ Limited Edition ออกมาเสนอไปอย่างนั้น บางรุ่นก็นำเสนอว่า สามารถสั่งสลักชื่อบนตัวกระเป๋าได้ Customise ได้!
นี่เองคือการย้อนศรสู่สิ่งที่เป็นสามัญเมื่อร้อยปีที่แล้ว เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่ในอีกมุมมอง
สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยคือการหาพื้นที่ยืนในสังคม แม้คนสมัยก่อนจะไม่ติดยี่ห้อหราเหมือนยุคเราแต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Brand ไม่มีตัวตน แบรนด์ของคนสมัยก่อนอาจเป็นเสื้อร้านชาแนลซึ่งยังไม่ติดยี่ห้อ หรือกระเป๋าหวายจากถนนเฉลิมกรุง ซึ่งของส่วนใหญ่นั้นสั่งทำพิเศษอยู่แล้วจึงไม่ต้องสร้างคำว่า Customization ขึ้นเพื่อโฆษณา การสร้างอัตลักษณ์ของคนสมัยก่อนอาจอยู่ที่การมีรถขับเพราะคนอื่นใช้สามล้อถีบ หรือเพียงแค่การมีวิทยุฟังในบ้านเพื่อรับรู้ข่าวสาร
สังคมยุคปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ยึดติดยี่ห้อ คนเหล่านี้รวมถึงฉันเองก็มักจะชื่นชอบ Muji แบรนด์ญี่ปุ่นที่นำความไม่เป็นแบรนด์มาเป็นแบรนด์ได้! หรือพูดจาประสาพุทธคือการนำอนัตตามาเป็นอัตตา ซึ่งก็เป็นการย้อนศรอีกตลบและก็ตบมาเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการอีกนั่นแหละ!
คนเราจะซื้อ จะใช้ จะบริโภคอะไรอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีอัตตาคือบริโภคเพื่อตนเองอยู่อย่างไม่สิ้นสุด และแน่นอนว่าในอนาคตจะเห็นการย้อนศรของคำใหม่ๆอีกนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่คำว่า Customization!
สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นช่วงยี่สิบปีมานี้เอง เนื่องจากการกระหน่ำยิงของวงการอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้มนุษย์ใช้สินค้าคล้ายๆกัน หลายอย่างที่อุปโภคบริโภคก็หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ!
มนุษย์ยุคเราสามารถตั้งกระทู้ในพันธุ์ทิพย์เกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องเดียวแล้วมีคนอีกสองแสนเข้ามาลงความเห็นและคุยเรื่องเดียวกันได้รู้เรื่อง เลยเถิดไปถึงใส่อารมณ์ด่าพ่อล่อแม่กัน... ก็ไม่แปลกในยุคนี้ แต่หากมองในมุมของคนไทยสมัยรัชกาลที่ห้าคงเป็นเรื่องผิดวิสัยไม่น้อย
ย้อนไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม คำว่า Custom Made หรือสั่งทำเฉพาะนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีโรงงานที่สั่งเสื้อทีละร้อยตัวแล้วได้วันนี้ ไม่มีโรงงานผลิตรถยนต์ที่เร่งได้ถึงห้าร้อยคันต่อวันอย่างในปัจจุบัน เสื้อหนึ่งตัวต้องเข้าร้านไปวัดและตัด โต๊ะเครื่องแป้งต้องสั่งทำ
ในประวัติศาสตร์ไทยเองก็ได้บันทึกเรื่องราวเหล่านี้เอาไว้ เช่น เรื่องราวของถ้วยชามสังคโลกที่มีลายชัดเจนแต่ไม่เหมือนกันสักชิ้น ถ้วยเบญจรงค์ที่สามารถสั่งช่างให้วาดตามต้องการได้ ข้ามไปถึงฝั่งยุโรปที่มีการสั่งทำตู้ ทำเครื่องประดับโดยเฉพาะ เหล่านี้ล้วนจัดเป็น Customization หรือที่เราๆท่านๆเข้าใจกันในปัจจุบันว่าคือการทำสินค้าพิเศษเป็นรายๆไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่เหมือนใคร
ท่านผู้อ่านคงทราบอยู่แล้วว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั้นเกิดจากการที่ความต้องการน้อยกว่ากำลังผลิต ปัจจุบันนี้เราผลิตได้เกินความต้องการ ส่งผลให้เกิดลัทธิบริโภคนิยมจนจำเป็นต้องมีวงการโฆษณาที่ฉันทำงานอยู่ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มุมน่าคิดคือมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ได้ชื่อว่าเชื่อในความเป็นตัวของตัวเองนั้นกลับไปสู่สิ่งที่คนยุคร้อยกว่าปีที่แล้วไม่มี!
นั่นคือการใช้สินค้าซ้ำๆกันค่อนโลก
เพื่อย้อนศรกลับไปสู่ที่เดิมที่เราเคยยืน การนำอัตลักษณ์คืนมาย่อมเป็นเรื่องขาดไม่ได้ และเพื่อทำให้วงจรการค้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีกจึงมีคำโฆษณาโปรยไว้เกร่อว่า “สู่ความเป็นตัวคุณ” หรือ “Be yourself” ก้าวสู่การผลักดันให้ฝูงชนบริโภคผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับเปลี่ยน แก้ไขได้ด้วยตัวเองซึ่งอีกนัยหนึ่งอาจเป็นการซื้อสินค้าที่ยังทำไม่เสร็จด้วยซ้ำ! อาทิ โต๊ะพับได้ของ IKEA ซึ่งต้องนำมาต่อเองและทาสีเอง มีป้ายข้างกล่องว่า
“Be yourself, be creative”
เออ … แล้วกูจะซื้อไปทำไม?

การดื่มโค้ก ดื่มเป๊ปซี่ซึ่งเน้นความเป็นอิสระ เต็มที่กับชีวิต สดชื่นแก้กระหายหรืออะไรก็แล้วแต่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคฉลาดขึ้น ตรงข้ามการเสพย์แบรนด์ตามความเคยชินอาจทำให้ท่านไม่เต็มที่กับชีวิตเพราะเป็นเบาหวานหรือโรคกระเพาะ และแน่นอนว่า Coke เองก็เป็นเครื่องดื่มแรกที่มี Limited Edition เพื่อให้ผู้สะสมรู้สึกพิเศษ!
Brand ดังทั้งหลาย เช่น Louis Vuitton, Gucci ฯลฯ นอกจากมีสินค้าตอแหลออกมาจำหน่ายในราคาไม่ย่อมเยาหนำซ้ำยังมีคนนำไปก็อปจนเกร่อแล้ว ยังมีการนำ Limited Edition ออกมาเสนอไปอย่างนั้น บางรุ่นก็นำเสนอว่า สามารถสั่งสลักชื่อบนตัวกระเป๋าได้ Customise ได้!
นี่เองคือการย้อนศรสู่สิ่งที่เป็นสามัญเมื่อร้อยปีที่แล้ว เรื่องเก่านำมาเล่าใหม่ในอีกมุมมอง
สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยคือการหาพื้นที่ยืนในสังคม แม้คนสมัยก่อนจะไม่ติดยี่ห้อหราเหมือนยุคเราแต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า Brand ไม่มีตัวตน แบรนด์ของคนสมัยก่อนอาจเป็นเสื้อร้านชาแนลซึ่งยังไม่ติดยี่ห้อ หรือกระเป๋าหวายจากถนนเฉลิมกรุง ซึ่งของส่วนใหญ่นั้นสั่งทำพิเศษอยู่แล้วจึงไม่ต้องสร้างคำว่า Customization ขึ้นเพื่อโฆษณา การสร้างอัตลักษณ์ของคนสมัยก่อนอาจอยู่ที่การมีรถขับเพราะคนอื่นใช้สามล้อถีบ หรือเพียงแค่การมีวิทยุฟังในบ้านเพื่อรับรู้ข่าวสาร
สังคมยุคปัจจุบันยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ยึดติดยี่ห้อ คนเหล่านี้รวมถึงฉันเองก็มักจะชื่นชอบ Muji แบรนด์ญี่ปุ่นที่นำความไม่เป็นแบรนด์มาเป็นแบรนด์ได้! หรือพูดจาประสาพุทธคือการนำอนัตตามาเป็นอัตตา ซึ่งก็เป็นการย้อนศรอีกตลบและก็ตบมาเป็นผลประโยชน์เข้ากระเป๋าผู้ประกอบการอีกนั่นแหละ!
คนเราจะซื้อ จะใช้ จะบริโภคอะไรอย่างไร สุดท้ายก็ยังมีอัตตาคือบริโภคเพื่อตนเองอยู่อย่างไม่สิ้นสุด และแน่นอนว่าในอนาคตจะเห็นการย้อนศรของคำใหม่ๆอีกนับไม่ถ้วน ไม่ใช่แค่คำว่า Customization!
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553
Japanese Design Today: ความยากของงานยุ่น
คุณรู้จักความเป็นญี่ปุ่นมากแค่ไหน? งานออกแบบพันธุ์ยุ่นเป็นอย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!
ฉันมีเพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นอยู่หลายคน ซึ่งรักกันมาก เห็นหน้ากันทุกวัน สัมผัสลูบไล้กันทุกวัน...
เพื่อนกลุ่มนี้มีชื่อว่า "Casio" ซึ่งฉันมีเก็บไว้ประมาณ 5 เรือนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนตอนนี้อายุปาเข้าไป 24 ปีแล้ว
มีนาฬิกาแบบไหนก็ไม่เร้าใจเท่าแบบดิจิตอลเพราะประโยชน์ใช้สอยมาก นี่ยังไม่รวมถึงความอึด กันแดด กันฝน กันลม กันไฟ กันกระแทก รับประกันสามปี... อะไรจะขนาดนั้น!
ฉันเชื่อว่าคนทั่วโลกได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นผ่านผลิตภัณฑ์มากกว่าผ่าน "คนญี่ปุ่น" จริงๆเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นรถ เครื่องเขียน นาฬิกา หรือแม้กระทั่งขวดชอสคิกโคเเม็น! เราได้ลูบไล้ ครอบครอง มองหา และนำมาใช้เป็นอันดับหนึ่ง ประเทศเราเสียดุลให้เจ้ายุ่นมากที่สุด อ๊ะ! แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรานำเจ้ายุ่นมานั่งจับเข่าคุยกันได้อย่างไร
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม ณ หอศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ๆเจ้ายุ่นขนขบวนกันมาถึงหนึ่งร้อยตัวถ้วน!
งานนี้เรียกกันเก๋ๆว่า Japanese Design Today หรือ งานออกแบบญี่ปุ่นของวันนี้
เจ้าขวดซอสคิกโคเเม็นในตำนานกำลังยืนนิ่งอยู่ในตู้... เพื่อนๆของมันอันได้แก่เฟอร์นิเจอร์ รถมอเตอร์ไซค์ ยางลบ โทรศัพท์มือถือ ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายทว่ามีรายละเอียด ทุกตัวยืนอย่างถ่อมตัวอยู่หลังหมายเลขอันไร้ซึ่งคำบรรยาย อยากรู้ต้องอ่านคู่มือเอาเองตามแบบฉบับพี่ยุ่นซึ่งเป็นนักอ่านตัวยง
ฉันตรงไปคุยกับนายคิโคแม็นก่อนเพราะได้ข่าวว่าตั้งแต่เปิดตัวสินค้ามากว่าสี่สิบปี ทางผู้ผลิตไม่เคยเปลี่ยนขวดเลย

ฉัน : นายคิดว่านายพิเศษยังไงถึงอยู่ได้นาน ฮึ!
คิกโคแม็น : คมบังหวะ! วะตะฉิหวะ คิโคแม็นเด็ส (สวัสดีครับผมคือนายคิกโคแม็น) ผมใช้ง่าย เทง่าย หกยาก ตกไม่แตก แถมยังต้นทุนการผลิตต่ำอีกด้วย ว่าแล้วนายคิกโคแม็นก็ผล็อยหลับ ปล่อยให้เราตีความคำพูดเอง
ฉันผงะ.. ไม่รู้จะโต้ตอบยังไง ข้อดีของนายคิกโคแม็นนั้นครบจริงๆด้วย หากถามถึงเรื่องกราฟฟิกก็ไม่ต้องเปลี่ยนให้ยุ่งยากเพราะผู้บริโภคทั่วโลกก็ติดแบรนด์ไปแล้ว ยี่ห้ออื่นๆต่างหากกลับลอกเลียนสีสันและฉลากของยี่ห้อนี้
ผ่านมาที่น้องหนูยางลบ(กอมเม่จัง)ซึ่งหน้าตาเหมือนตัวต่อ สามารถนำมาเล่น มาดัดแปลงได้จนเป็นรูปทรงตามต้องการ ตัวนี้หาได้ยากจากท้องตลาดเพราะเป็นรุ่นคลาสสิก ฉันและเนเน่จัง(พี่สาว)ชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยอยู่บ้านเดียวกันเคยแย่งยางลบรุ่นนี้ เคยเอามาต่อเล่นกันแม้ว่าอายุอานามจะเลยยี่สิบไปหลายปี
ฉัน: นี่เธอ! ทำไมเค้าถึงไม่ค่อยผลิตเธอออกมาขายแล้วล่ะ
กอมเม่จัง: เพราะหนูคลาสสิก หนูน่ารัก น่าเล่น แถมยังมีประโยชน์ใช้สอยด้วย!
ว่าแล้วหล่อนก็ทำหน้างอนและผิวปากแบบไม่ยี่หระ.. ฉันเองอยากเปลี่ยนมุมจึงเดินไปอีกฝั่งของงานแล้วยืนคุยกับหนุ่มรูปหล่อจากอนาคต นายคนนี้เป็นมอเตอร์ไซค์แบบเสียบปลั๊ก!

ฉัน: โมะโตะคุงไม่ต้องง้อน้ำมันเลยเหรอ
โมะโตะคุง: ไม่ต้องหรอก ผมมีปลั๊ก!
ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันหน้าแล้วทำปากใบ้ไปที่ก้นเพื่อให้เห็นว่ามีปลั๊กไฟและที่เก็บอย่างเรียบร้อย
ฉัน: อย่างงี้โมะโตะคุงกินไฟเยอะแน่เลยสิ
โมะโตะคุง: นักออกแบบกำลังปรับปรุงผมอยู่ครับ! อีกสักสามปีหรือห้าปีคงนำออกมาขายได้รอกันหน่อยนะครับ
ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันไปโพสท่าให้ชาวประชาถ่ายรูป.. คนดังก็อย่างนี้แหละ!
งานยุ่นที่ดูเรียบง่าย อธิบายแล้วเข้าใจนั้นแท้จริงมีความยากซ่อนอยู่ เริ่มจากการคิดคอนเส็ปท์
สังเกตได้ว่าตัวละครทั้งสามที่ฉันเข้าไปคุยด้วยนั้นบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะนั่นขึ้นอยู่กับเจตนาและประโยชน์ใช้สอย ลุงคิกโคแม็นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับรองสินค้าที่มีอยู่แล้วจึงต้องมีปัจจัยด้านฟังก์ชั่นและความเรียบง่ายเป็นหลักสำคัญ
น้องกอมเม่นั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาแต่นักออกแบบได้ใส่ความเป็น "ญี่ปุ่น" เข้าไปเต็มกระแสเลือด
เธอมีความขี้เล่น และเรียบง่ายในตัวเดียว เธอกระตุ้นให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก เธอมีหลากหลายสีให้สะสม
ท้ายสุดคือโมะโตะคุง เป็นชายหนุ่มจากอนาคตที่มีวิญญาณญี่ปุ่นเต็มร้อย เขามาเพื่อกู้โลกจากวิกฤตน้ำมันและวิกฤตคมนาคม
ผลิตภัณฑ์ทั้งสามชิ้น สามแบบ สามเจตนารมณ์ นั้นมีที่มาเดียวกันคือมาจากความยากลำบาก
ความยากของงานยุ่นอยู่ที่วิธีการคิด งานยิ่งเรียบก็ยิ่งยาก ยิ่งล้ำยุคก็ยิ่งต้องใช้ทุนสูง ยิ่งต้องใช้บุคลากรที่ประสิทธิภาพระดับโลกไม่ใช่รู้แค่งูๆปลาๆ ต้องรู้ครบ รู้รอบและมีทัศนคติที่เปิดกว้าง
งานออกแบบของญี่ปุ่นนั้นมีความน่ารักที่คนทั่วโลกยอมรับ นั่นคือ เรียบง่าย ขี้เล่น และล้ำยุค
สามสิ่งนี้เองที่ทำให้งานยุ่นกลายเป็นเงินและเป็นวิวัฒนาการที่วงการออกแบบไทยควรเอาเยี่ยงอย่างเชิงวิธีการ ไม่ใช่การลอกอย่างที่บริษัทส่วนใหญ่ทำกัน!
ฉันมีเพื่อนสนิทชาวญี่ปุ่นอยู่หลายคน ซึ่งรักกันมาก เห็นหน้ากันทุกวัน สัมผัสลูบไล้กันทุกวัน...
เพื่อนกลุ่มนี้มีชื่อว่า "Casio" ซึ่งฉันมีเก็บไว้ประมาณ 5 เรือนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนตอนนี้อายุปาเข้าไป 24 ปีแล้ว
มีนาฬิกาแบบไหนก็ไม่เร้าใจเท่าแบบดิจิตอลเพราะประโยชน์ใช้สอยมาก นี่ยังไม่รวมถึงความอึด กันแดด กันฝน กันลม กันไฟ กันกระแทก รับประกันสามปี... อะไรจะขนาดนั้น!
ฉันเชื่อว่าคนทั่วโลกได้สัมผัสความเป็นญี่ปุ่นผ่านผลิตภัณฑ์มากกว่าผ่าน "คนญี่ปุ่น" จริงๆเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นรถ เครื่องเขียน นาฬิกา หรือแม้กระทั่งขวดชอสคิกโคเเม็น! เราได้ลูบไล้ ครอบครอง มองหา และนำมาใช้เป็นอันดับหนึ่ง ประเทศเราเสียดุลให้เจ้ายุ่นมากที่สุด อ๊ะ! แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เรานำเจ้ายุ่นมานั่งจับเข่าคุยกันได้อย่างไร
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม ณ หอศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ๆเจ้ายุ่นขนขบวนกันมาถึงหนึ่งร้อยตัวถ้วน!
งานนี้เรียกกันเก๋ๆว่า Japanese Design Today หรือ งานออกแบบญี่ปุ่นของวันนี้
เจ้าขวดซอสคิกโคเเม็นในตำนานกำลังยืนนิ่งอยู่ในตู้... เพื่อนๆของมันอันได้แก่เฟอร์นิเจอร์ รถมอเตอร์ไซค์ ยางลบ โทรศัพท์มือถือ ถูกจัดวางอย่างเรียบง่ายทว่ามีรายละเอียด ทุกตัวยืนอย่างถ่อมตัวอยู่หลังหมายเลขอันไร้ซึ่งคำบรรยาย อยากรู้ต้องอ่านคู่มือเอาเองตามแบบฉบับพี่ยุ่นซึ่งเป็นนักอ่านตัวยง
ฉันตรงไปคุยกับนายคิโคแม็นก่อนเพราะได้ข่าวว่าตั้งแต่เปิดตัวสินค้ามากว่าสี่สิบปี ทางผู้ผลิตไม่เคยเปลี่ยนขวดเลย

ฉัน : นายคิดว่านายพิเศษยังไงถึงอยู่ได้นาน ฮึ!
คิกโคแม็น : คมบังหวะ! วะตะฉิหวะ คิโคแม็นเด็ส (สวัสดีครับผมคือนายคิกโคแม็น) ผมใช้ง่าย เทง่าย หกยาก ตกไม่แตก แถมยังต้นทุนการผลิตต่ำอีกด้วย ว่าแล้วนายคิกโคแม็นก็ผล็อยหลับ ปล่อยให้เราตีความคำพูดเอง
ฉันผงะ.. ไม่รู้จะโต้ตอบยังไง ข้อดีของนายคิกโคแม็นนั้นครบจริงๆด้วย หากถามถึงเรื่องกราฟฟิกก็ไม่ต้องเปลี่ยนให้ยุ่งยากเพราะผู้บริโภคทั่วโลกก็ติดแบรนด์ไปแล้ว ยี่ห้ออื่นๆต่างหากกลับลอกเลียนสีสันและฉลากของยี่ห้อนี้
ผ่านมาที่น้องหนูยางลบ(กอมเม่จัง)ซึ่งหน้าตาเหมือนตัวต่อ สามารถนำมาเล่น มาดัดแปลงได้จนเป็นรูปทรงตามต้องการ ตัวนี้หาได้ยากจากท้องตลาดเพราะเป็นรุ่นคลาสสิก ฉันและเนเน่จัง(พี่สาว)ชาวญี่ปุ่นซึ่งเคยอยู่บ้านเดียวกันเคยแย่งยางลบรุ่นนี้ เคยเอามาต่อเล่นกันแม้ว่าอายุอานามจะเลยยี่สิบไปหลายปี
ฉัน: นี่เธอ! ทำไมเค้าถึงไม่ค่อยผลิตเธอออกมาขายแล้วล่ะ
กอมเม่จัง: เพราะหนูคลาสสิก หนูน่ารัก น่าเล่น แถมยังมีประโยชน์ใช้สอยด้วย!
ว่าแล้วหล่อนก็ทำหน้างอนและผิวปากแบบไม่ยี่หระ.. ฉันเองอยากเปลี่ยนมุมจึงเดินไปอีกฝั่งของงานแล้วยืนคุยกับหนุ่มรูปหล่อจากอนาคต นายคนนี้เป็นมอเตอร์ไซค์แบบเสียบปลั๊ก!

ฉัน: โมะโตะคุงไม่ต้องง้อน้ำมันเลยเหรอ
โมะโตะคุง: ไม่ต้องหรอก ผมมีปลั๊ก!
ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันหน้าแล้วทำปากใบ้ไปที่ก้นเพื่อให้เห็นว่ามีปลั๊กไฟและที่เก็บอย่างเรียบร้อย
ฉัน: อย่างงี้โมะโตะคุงกินไฟเยอะแน่เลยสิ
โมะโตะคุง: นักออกแบบกำลังปรับปรุงผมอยู่ครับ! อีกสักสามปีหรือห้าปีคงนำออกมาขายได้รอกันหน่อยนะครับ
ว่าแล้วโมะโตะคุงก็หันไปโพสท่าให้ชาวประชาถ่ายรูป.. คนดังก็อย่างนี้แหละ!
งานยุ่นที่ดูเรียบง่าย อธิบายแล้วเข้าใจนั้นแท้จริงมีความยากซ่อนอยู่ เริ่มจากการคิดคอนเส็ปท์
สังเกตได้ว่าตัวละครทั้งสามที่ฉันเข้าไปคุยด้วยนั้นบุคลิกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะนั่นขึ้นอยู่กับเจตนาและประโยชน์ใช้สอย ลุงคิกโคแม็นถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรับรองสินค้าที่มีอยู่แล้วจึงต้องมีปัจจัยด้านฟังก์ชั่นและความเรียบง่ายเป็นหลักสำคัญ
น้องกอมเม่นั้นไม่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาแต่นักออกแบบได้ใส่ความเป็น "ญี่ปุ่น" เข้าไปเต็มกระแสเลือด
เธอมีความขี้เล่น และเรียบง่ายในตัวเดียว เธอกระตุ้นให้ผู้ใหญ่กลายเป็นเด็ก เธอมีหลากหลายสีให้สะสม
ท้ายสุดคือโมะโตะคุง เป็นชายหนุ่มจากอนาคตที่มีวิญญาณญี่ปุ่นเต็มร้อย เขามาเพื่อกู้โลกจากวิกฤตน้ำมันและวิกฤตคมนาคม
ผลิตภัณฑ์ทั้งสามชิ้น สามแบบ สามเจตนารมณ์ นั้นมีที่มาเดียวกันคือมาจากความยากลำบาก
ความยากของงานยุ่นอยู่ที่วิธีการคิด งานยิ่งเรียบก็ยิ่งยาก ยิ่งล้ำยุคก็ยิ่งต้องใช้ทุนสูง ยิ่งต้องใช้บุคลากรที่ประสิทธิภาพระดับโลกไม่ใช่รู้แค่งูๆปลาๆ ต้องรู้ครบ รู้รอบและมีทัศนคติที่เปิดกว้าง
งานออกแบบของญี่ปุ่นนั้นมีความน่ารักที่คนทั่วโลกยอมรับ นั่นคือ เรียบง่าย ขี้เล่น และล้ำยุค
สามสิ่งนี้เองที่ทำให้งานยุ่นกลายเป็นเงินและเป็นวิวัฒนาการที่วงการออกแบบไทยควรเอาเยี่ยงอย่างเชิงวิธีการ ไม่ใช่การลอกอย่างที่บริษัทส่วนใหญ่ทำกัน!
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553
BlackBerry:บริโภคแบบโลกที่สาม!

คำว่า "In trend" (อิน-เทร็น)และ "Design"(ดี-ซาย) ปัจจุบันถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อ จนเป็นคำที่ได้ยินกันเกร่อ
สื่อใช้สองคำนีัในการกระตุ้นผู้บริโภคหลายกลุ่มชนแต่กลุ่มคนที่จับจ่ายใช้สอยและสนใจคำสองคำนี้แท้จริงมีอยู่กลุ่มเดียว
นั่นคือ "กลุ่มคนที่กลัวตกยุค" ซึ่งไม่ได้มีแค่ในเมืองใหญ่หากแต่กระจายตัวอยู่ทั่วโลกและหากคุณเป็นคนที่กลัวตกเทรนด์ ก็เตรียมกระเป๋าบานได้เลยเพราะเทรนด์นั้นเปลี่ยนตลอดเวลาขณะที่คำว่าดีไซน์คงอยู่ไปตลอด
หนึ่งในเทรนด์ที่มาแรงแซงโค้งแม้หลายคนหาทราบไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้ออกสู่สายตาโลกตั้งแต่ปี 2002 คือ Blackberry หรือที่ชาวบ้านเรียกสั้นๆว่า BB
ปัจจุบันราคาเจ้า BB รุ่นถูกที่สุดอยู่ที่ 15,000 โดยประมาณ ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนขั้นต่ำวุฒิปริญญาตรี
น่าแปลกที่ประชากรของโลกที่สามอย่างเราๆยินดีผ่อนเจ้า BB นี้เดือนละแพงๆ โดยเราซื้อเจ้าของที่คิดว่าสำคัญในราคาพอๆกันหรือสูงกว่าฝั่งยุโรปหรืออเมริกาเสียอีก
เจ้า BB นั้นติดโผ 1 ใน 100 แบรนด์ท็อปของเกาะอังกฤษในปี 2004-2005 โดยการนำเข้าของระบบ 3 mobile ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Hutchที่เคยมาโฉบกรายในบ้านเรา สนนราคาอยู่ที่ 200 ปอนด์ หรือ 1 ใน 5 ของเงินเดือนขั้นต่ำวุฒิปริญญาตรี (1,000 ปอนด์)นั่นแปลว่าลอนดอนเนอร์ทั่วไป ใครๆก็ซื้อ BB ได้ ไม่ต้องผ่อน ไม่ต้องรำคาญใจ!
ซื้อแล้วก็ไม่ต้องอวด ไม่ต้องเห่อ ไม่ต้องตั้งสมาคม BB เพื่อจะบอกว่า เออ!กูรวย
ในฐานะคนวิเคราะห์แบรนด์ เห็นว่าสิ่งที่บริษัทใหญ่ๆง้างกระเป๋าคนไทยเราได้สบายนั่นคือการเอาภาพลักษณ์มาใส่ในสมองของเราๆท่านๆ ผ่านการโฆษณาและยัดความเชื่อว่าอะไรบ้างที่เก่า อะไรบ้างที่ใหม่
อะไรน่าซื้อ อะไรไม่น่าซื้อ ความน่าซื้อนั้นหากอยู่ที่ประโยชน์ใช้สอยและราคาที่ไม่เกิน 1 ใน 5 ของเงินเดือน(หรือค่าขนม)ก็ซื้อไปเถิด อย่างไรโทรศัพท์อ้วนๆเครื่องนี้ก็มีประโยชน์มหาศาล เล่นอินเตอร์เน็ต ออนไลน์ พบเพื่อน ถ่ายภาพ อะไรก็ว่ากันไป
ตราบใดที่เงินแค่ 15,000 เป็นแค่เศษเงิน และเงินเดือน/ค่าขนมของท่านเกิน 75,000 บาท ต่อเดือนก็เชิญตามสบาย
แต่การผ่อนแล้วผ่อนอีก ผ่อนแล้วต้องกระเบียดกระเสียนของท่านทำให้ดิฉันกระเหี้ยนกระหือถามกลับว่า
ทำไมไม่ใช้อย่างอื่นแทน? และหากท่านทราบว่า BB ในประเทศที่เจริญแล้วมีค่าแค่ 1 ใน 5 ของเงินเดือนเด็กปริญญาตรีบ้านๆคนนึง ท่านคงเลิกเห่อกระมัง?
กรณีเปรียบเทียบ: เงินขั้นต่ำปริญญาตรีบ้านเรา 10,000 บาท ดังนั้น 1 ใน 5 = 2,000 บาท
เงิน 2,000 บาทสามารถซื้อโทรศัพท์มือถือธรรมดาๆได้ 1 เครื่องใช้งานได้จริง ก็ไม่เป็นภาระอะไร
ฟังก์ชั่นของเจ้าโทรศัพท์อ้วนอาจมีมากมาย อาจช่วยคลายเหงาได้ยามรถติดแต่มีอย่างอื่นที่ราคาถูกกว่านี้ไหมที่จะช่วยได้? อาจเป็น MP3 เครื่องเล็กๆราคาไม่ถึงพัน หรือหนังสือเล่มโปรด หรือแม้กระทั่งการนั่งบวกเลขบนตั๋วรถเมล์แก้เซ็ง การวาดรูปเล่นหรือมองคนที่ผ่านไปมาตามท้องถนน
คนที่ซื้อ และชอบ และติดโทรศัพท์อ้วนอาจหาเหตุผลโต้แย้งแทนนักออกแบบได้เป็นร้อยพันและแน่นอนหนึ่งในเหตุผลที่นักบริโภคนิยมใช้คือคำว่า "ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน"
ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์และหลักสังคมศาสตร์นั้นไม่จริงแม้เสี้ยวเดียว เพราะสิ่งที่ท่านบริโภคย่อมมีผลต่อคนหมู่มากแน่นอน
เช่น 1. โรงงานผลิตชิ้นส่วน Blackberry ในเมืองจีนและที่อื่นๆต้องเพิ่มกำลังผลิตทำให้โลกร้อนขึ้นอีกนิด
2. แน่นอนว่าประเทศไทยขาดดุลมากขึ้น ถ้าไม่ซื้อเจ้ามือถืออ้วนเราอาจจะใช้เครื่องปัจจุบัน
หรืองัดเครื่องเก่ากว่านี้มาใช้
3. โรคสมาธิสั้น! ลำพังติดคอมพิวเตอร์ ติดเกม ติดอินเตอร์เน็ตนั้นสร้างโรคสมาธิสั้นมากพออยู่แล้ว
การมีโลกอีกหนึ่งใบไว้ให้กดอาจทำให้โรคนี้อาการทรุดลงอีก ถ้ามนุษย์ 1 คนเสียสมาธิและประสิทธิภาพใน การดำเนินชีวิต คิดหรือว่าจะไม่กระทบสิ่งใดเลยในองค์รวม
แล้วทำไม Designer ใจร้ายถึงได้ออกเทคโนโลยีใหม่ขึ้นเรื่อยๆมาล่อน้ำลายเรา?
เพราะเขารู้แน่นอนว่าเราจะซื้อ กล่าวคือ รู้สันดานการบริโภคแบบโลกที่สาม!
การบริโภคแบบโลกที่สามไม่มีอะไรต้องอธิบายยาว คือการคิดในระยะสั้น ซื้อเกินกำลัง การหาข้ออ้างให้ได้ซื้อ
และลืมไปว่าคนอีกค่อนประเทศลำบากกว่าเรา หรืออาจชื่นชอบที่คนอีกค่อนประเทศให้ตายก็ไม่มีปัญญาซื้อใช้
ผู้บริโภคแบบโลกที่สามเสพย์ติดความเป็นอภิสิทธิ์ชนและความโก้หรู บ้าวัตถุขณะที่ไม่เข้าใจศาสตร์แห่งการออกแบบวัตถุ
กวีอังกฤษนาม William Blake เคยกล่าวไว้ว่า "เรามักคลั่งไคล้สิ่งที่เราไม่เข้าใจ"
ซึ่งดิฉันเห็นด้วยและคิดว่าประเทศชาติคงเจริญกว่านี้หากผู้คนเข้าใจศาสตร์และศิลป์ของสินค้า ก่อนที่จะบ้าซื้อจนต่างชาติรู้กันทั่วว่าเอาอะไรมาวางเมืองไทย จะแพงแค่ไหนก็ขายดี ก่อนที่จะนำเงินเท่าเงินเดือนไปแลกกับชิ้นส่วนไทเทเนียมที่สักวันจะกลายเป็นเศษเหล็ก!
วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553
สีเทา..และเงาของความดี?
ดร.เสรี วงมณฑา เคยกล่าวไว้ในการบรรยายทางทีวีแห่งหนึ่ง นานมากแล้วสมัยที่ฉันยังเด็กๆ มีนักเรียนม.ต้นคนหนึ่งถามท่านว่า “เราจะรู้ได้ยังไงว่าอะไรคือความดี”
ท่านตอบสั้นๆง่ายๆว่า “ถ้าทำอะไรแล้วบอกโลกได้โดยไม่อาย นั่นแหละความดี”
ตอนเด็กๆฉันยังคลางแคลงแต่ก็ไม่ได้ถึงกับตั้งใจหาข้อมูลอย่างเป็นจริงเป็นจัง

ตอนนี้คำตอบนั้นขัดความรู้สึกฉันเสียเหลือเกิน ด้วยว่าความชั่วความดีนั้นบ่อยครั้งวัดโดยบรรทัดฐานของสังคมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว อาจมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ชาวโลกยอมรับว่าเลวจริง เข้าถึงได้อย่างเสมอภาคแม้ข้ามเส้นวัฒนธรรม เช่น เรื่องแย่งคู่ครอง เรื่องโกงเงิน ชกต่อย วางแผนลอบกัด ฯลฯ
ฉันเข้าใจว่าดร.เสรี อาจให้คำตอบที่เหมาะกับวุฒิภาวะของผู้ถาม
แต่คำตอบก็เป็นเพียงคำตอบ ไม่ใช่ทฤษฎี
เรื่องความชั่วความเลวนั้นวัดได้ยาก ยากกว่าการวัดกับเส้นความสำเร็จ คำพูดหนึ่งที่ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งซึ่งได้จากหลวงแม่(ภิกษุณีธัมมนันทา)ในการไปบวชชีพราหมณ์
ท่านตอบว่า “ คนที่อยู่บ้านเฉยๆโดยไม่มีโอกาสทำความชั่วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี.... คนดีคือคนที่มีโอกาสทำชั่วแล้วเลือกที่จะไม่ทำ”
ฉันไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ได้บอกว่าใครเป็น แต่ความชั่วนั้นมี และคนชั่วก็ย่อมมีด้วย แม้พักหลังๆสื่อหลายแขนงจะพยายามบอกว่าคนชั่วไม่มีจริง ทุกสิ่งเป็นสีเทาก็ตาม
ความชั่วมีสาเหตุก็จริง แต่คนชั่วเลือกที่จะใช้สาเหตุนั้นมาทำชั่ว ขณะที่คนดีเลือกนำต้นตอนั้นมาทำดี นี่แหละที่แตกต่าง!
คนทุกคนเติบโตขึ้นมาแม้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราต่างเคยถูกทำร้าย ถ้าเรายอมให้ความเจ็บเป็นพลังสู่การทำร้ายผู้อื่น เรายอมแพ้ต่อความชั่ว... สักวันเราจะกลายเป็นคนชั่วและเมื่อทุกคนคิดเช่นนี้ วงจรแห่งความชั่วจะอุบัติขึ้น
หลายปัญหาก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ เราอดทน เข้มแข็งแค่ไหนที่จะทำให้วงจรความชั่วมาหยุดที่เรา แล้วเปลี่ยนศรไปทำตรงข้าม?
กลับกัน... เมื่อเราโดนทำร้ายแล้วกลับใช้ความเจ็บและรอยจำเป็นเส้นทางสู่การส่งต่อความดี เพื่อปกป้อง รักและเผื่อแผ่แก่คนอื่น..วงจรแห่งความดีจะบังเกิดเช่นกัน
ความดีความชั่วยังมีตัวตน มีผล และทำได้ทุกที่ทุกเวลา ขอให้ปีใหม่นี้ทุกคนมีแรงต่อสู้กับความชั่วนะคะ:)
ท่านตอบสั้นๆง่ายๆว่า “ถ้าทำอะไรแล้วบอกโลกได้โดยไม่อาย นั่นแหละความดี”
ตอนเด็กๆฉันยังคลางแคลงแต่ก็ไม่ได้ถึงกับตั้งใจหาข้อมูลอย่างเป็นจริงเป็นจัง

ตอนนี้คำตอบนั้นขัดความรู้สึกฉันเสียเหลือเกิน ด้วยว่าความชั่วความดีนั้นบ่อยครั้งวัดโดยบรรทัดฐานของสังคมที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว อาจมีเพียงไม่กี่เรื่องที่ชาวโลกยอมรับว่าเลวจริง เข้าถึงได้อย่างเสมอภาคแม้ข้ามเส้นวัฒนธรรม เช่น เรื่องแย่งคู่ครอง เรื่องโกงเงิน ชกต่อย วางแผนลอบกัด ฯลฯ
ฉันเข้าใจว่าดร.เสรี อาจให้คำตอบที่เหมาะกับวุฒิภาวะของผู้ถาม
แต่คำตอบก็เป็นเพียงคำตอบ ไม่ใช่ทฤษฎี
เรื่องความชั่วความเลวนั้นวัดได้ยาก ยากกว่าการวัดกับเส้นความสำเร็จ คำพูดหนึ่งที่ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งซึ่งได้จากหลวงแม่(ภิกษุณีธัมมนันทา)ในการไปบวชชีพราหมณ์
ท่านตอบว่า “ คนที่อยู่บ้านเฉยๆโดยไม่มีโอกาสทำความชั่วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดี.... คนดีคือคนที่มีโอกาสทำชั่วแล้วเลือกที่จะไม่ทำ”
ฉันไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นคนดี ไม่ได้บอกว่าใครเป็น แต่ความชั่วนั้นมี และคนชั่วก็ย่อมมีด้วย แม้พักหลังๆสื่อหลายแขนงจะพยายามบอกว่าคนชั่วไม่มีจริง ทุกสิ่งเป็นสีเทาก็ตาม
ความชั่วมีสาเหตุก็จริง แต่คนชั่วเลือกที่จะใช้สาเหตุนั้นมาทำชั่ว ขณะที่คนดีเลือกนำต้นตอนั้นมาทำดี นี่แหละที่แตกต่าง!
คนทุกคนเติบโตขึ้นมาแม้ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือเราต่างเคยถูกทำร้าย ถ้าเรายอมให้ความเจ็บเป็นพลังสู่การทำร้ายผู้อื่น เรายอมแพ้ต่อความชั่ว... สักวันเราจะกลายเป็นคนชั่วและเมื่อทุกคนคิดเช่นนี้ วงจรแห่งความชั่วจะอุบัติขึ้น
หลายปัญหาก็เกิดขึ้นจากตรงนี้ เราอดทน เข้มแข็งแค่ไหนที่จะทำให้วงจรความชั่วมาหยุดที่เรา แล้วเปลี่ยนศรไปทำตรงข้าม?
กลับกัน... เมื่อเราโดนทำร้ายแล้วกลับใช้ความเจ็บและรอยจำเป็นเส้นทางสู่การส่งต่อความดี เพื่อปกป้อง รักและเผื่อแผ่แก่คนอื่น..วงจรแห่งความดีจะบังเกิดเช่นกัน
ความดีความชั่วยังมีตัวตน มีผล และทำได้ทุกที่ทุกเวลา ขอให้ปีใหม่นี้ทุกคนมีแรงต่อสู้กับความชั่วนะคะ:)
วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553
มาหาไร?

สถาบันเป็นประเด็นเปราะบาง หลายคนอาจภาคภูมิใจ หลายคนไม่ หลายคนพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อ ซึ่งคุณภาพ .. แต่ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของตัวเองว่าก่อนและหลังจะต่างกันอย่างไร
ชีวิตฉันอาจเป็นตัวอย่างการตายที่น่าศึกษาก็ได้ … ใครจะไปรู้!
ฉันก้าวเข้าเซนต์มาร์ตินด้วยความกระหายใคร่รู้ เซนต์มาร์ตินคือสถาบันในฝันของใครหลายคน ชื่อสถาบันนั้นถูกประทับอยู่ในวงการแฟชั่นและวงการศิลปะทั่วโลก นักศึกษาหลายร้อยคนถูกคัดกรองเข้ามาอัดอยู่ในห้องเรียนแคบๆกับครูซึ่งออกตัวว่าตนเองไม่ใช่ครู แต่เป็นติวเตอร์
“ติวเตอร์กับครู ต่างกันมาก ครูจะสอนและใช้วิธีป้อนความรู้ แต่ติวเตอร์จะนำทางเราไปคร่าวๆ เราไม่ต้องตามก็ได้” ติวเตอร์หญิงเจ้าของร้านจิวเลอรี่มีชื่อกล่าว
เออสิ! แล้วกูจะเรียนยังไง? ฉันคิดกลับไปกลับมา ก็ด้วยระบบการศึกษาที่คุ้นชินในบ้านเรา
สอนศิลปะด้วยทักษะเป็นหลัก ไม่เน้นวิธีการคิดอย่างที่ประเทศพัฒนาแล้วทำกัน
สำหรับหลายคน การเรียนแบบนี้อาจเป็นเรื่องง่ายๆ อาจด้วยความเคยชินทางสภาพแวดล้อม ภาษาและวัฒนธรรมทำให้กลมกลืนได้ง่าย แต่สำหรับนักเรียนที่กระโดดมาจากโรงเรียนมัธยมไทยที่ได้ชื่อว่า “หัวโบราณ” ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนั้นเป็นเรื่องยากถึงสามมิติ
มิติแรกคือภาษา มิติที่สองคือวิชาที่เรียน มิติที่สามคือวัฒนธรรมความเป็นอยู่
หนึ่งปีแรกฉันจึงรู้สึกว่าร่างกายและตัวตนเริ่มเปื่อยยุ่ย แต่ก็ทนๆเอา ไม่รู้หรอกว่าความเจ็บ ความปวด ความเปื่อยยุ่ยนั้นจะนำมาซึ่งอะไร หลายครั้งที่อยากกลับบ้านแล้วหันทิศไปเรียนอะไรง่ายๆ คิดติดตลกว่าเอาเงินค่าเทอมไปซื้อ BMW ไปขับเล่นในทองหล่อแล้วสมัครเรียนอะไรง่ายๆแถวนั้นเสียจะดีไหม
แน่นอน ท่านผู้อ่านคงทราบดีว่าฉันไม่ได้ทำตามแรงโน้มถ่วงนั้นแล้วกลับพยายามเปลี่ยนตัวเองให้ได้ครบทั้งสามมิติ ซึ่งเป็นงานหนักแทบรากเลือด
“สอบได้เป็นเรื่องตลก สอบตกเป็นเรื่องธรรมชาติ”
ตั้งแต่อนุบาลจนถึงจบมัธยมก็ยังไม่เคยซาบซึ้งกับประโยคนี้เสียที จนกระทั่งเรียนแบบรุ่ยๆ มีวิชาให้ตกได้ทุกปี ที่โรงเรียนบ้าๆนี้ไม่ได้มีวิชาให้เข้าเรียน ไม่มีวิชาให้เลือกลง มีหน่วยกิตแต่ไม่ได้นับตามอย่างชาวบ้านเขา การสอบตกแค่เขียนแบบอย่างเดียวนั้นแปลว่าตกทั้งโปรเจค ตลอดปีมีงานสามถึงสี่โปรเจค ถ้าตกโปรเจคเดียวเท่ากับตกทั้งปี นั่นแปลว่าแค่กระดาษแผ่นเดียวอย่างการวาดรูปขวดหนึ่งใบ หรือกล้องถ่ายภาพหนึ่งชิ้น มีความหมายถึงการซ้ำชั้น
ต้นเทอมนักศึกษาจะได้ตารางแจกแจงว่าสัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไรบ้าง ติวเตอร์จะมายืนชี้แจงให้ฟัง พร้อมสั่งงาน นักศึกษาถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ บางกลุ่มต้องส่งงานวันอังคาร บางกลุ่มต้องส่งวันพฤหัส ถึงเวลาส่งงานเราต้องไปนั่งรวมกับเพื่อนในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ร่วมชะตากรรม ผู้เลือกหัวข้อโปรเจคเดียวกับเราประมาณสิบคน แต่ละคนต้องออกมานำเสนองานของตัวเอง บังคับว่าอย่างน้อยต้องมีสามไอเดีย หรือ สามคอนเส็ปต์ แต่ละชิ้นต้องมีที่มาที่ไปว่าคิดอย่างไร มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจ เจาะรายละเอียดไปถึงเหตุผล และจะใช้ในสังคมไหน วัฒนธรรมใด เมื่อไร ฯลฯ เมื่อนำเสนอเสร็จติวเตอร์และเพื่อนๆในกลุ่มจะรุมวิพากย์วิจารณ์งานเรา ชอบไม่ชอบว่ากันตรงนั้น มีอะไรแนะนำก็บอกได้เช่นกัน
บ่อยครั้งติวเตอร์จะมีถึงสามหรือสี่ท่าน แต่ละท่านเชี่ยวชาญกันคนละทาง
ความเห็นของติวเตอร์อาจไม่ตรงกับเรา เถียงได้เถียงไป ได้คะแนนเท่าไรอีกเรื่อง
แต่ต้องมีเหตุผลโต้แย้งเพียงพอ หลายคนทำโปรเจ็คโดยมีแนวคิดที่น่าสนใจแต่หาเหตุผลในการสร้างงานไม่ได้ก็เป็นอันสอบตก อย่างที่เพื่อนร่วมชั้นหลายๆคนโดนประเมินมาแล้ว
ถ้าเป็นคนหน้าไม่หนา หรือถ้าคิดตื้นๆแน่นอนว่าอยู่ไม่รอด
ถ้ารอดก็อาจจะร่อแร่หรือผ่านแบบเส้นยาแดงผ่าแปด...
ผ่านปีแรกและปีที่สองในรั้วโรงเรียนที่ผิดกับความคุ้นชิน ตัวตนของฉันหลุดร่อนไปเรื่อยๆ
สุดท้ายลมหายใจของตัวตนเก่าที่โง่เขลา โลกทัศน์แคบ และเต็มไปด้วยความคิดอย่างไม่เป็นระบบก็แผ่วเบาและตายลงไป
แน่นอนว่าหลังเรียนจบ ชีวิตคนเราย่อมเปลี่ยนไปบ้างไม่มากก็น้อย ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีใครได้สาระอะไรแน่นอนจากรั้วโรงเรียนศิลปะบ้าบอๆแห่งนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้อะไร …....
ที่แน่ๆ การเรียนจบแล้วมีชีวิตเป็นของตัวเอง ได้ลองเปลี่ยนตัวเองในทุกมิติ เป็นเรื่องตื่นเต้นที่ทำให้ฉันได้ทิ้งซากเดิมๆและปล่อยวิญญาณให้หลุดออกจากร่างอย่างเป็นอิสระ!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)